koal @ thesis (@koalchicine.bsky.social)

รวมข้อสังเกตคนทำสื่อ-ฝ่ายค้าน-นักวิชาการ เหตุปะทะไทย-กัมพูชา รอบล่าสุด รวมข้อสังเกตคนทำสื่อ-ฝ่ายค้าน-นักวิชาการ เหตุปะทะไทย-กัมพูชา รอบล่าสุด See Think Thu, 2025-07-24 - 21:18 สถานการณ์ของวันที่ 24 ก.ค. 2568 เพิ่มความตึงเครียดตั้งแต่เช้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากนั้นมีรายงานว่ามีการปะทะกันของทหาร 2 ประเทศ 6 จุดในพื้นที่ 4 จังหวัด ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายจากการยิงจรวดของฝั่งกัมพูชาตกยังเป้าหมายพลเรือนในฟั่งไทย โดยเฉพาะในร้านสะดวกซื้อ ปั๊ม ปตท.ในอำเภอกันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 7 คน ตั้งแต่เช้าจนบ่ายปรากฏความสูญเสียฝ่ายไทย * เสียชีวิต 12 ราย * บาดเจ็บสาหัส 11 ราย * บาดเจ็บปานกลาง 13 ราย * บาดเจ็บเล็กน้อย 7 ราย ความโกรธแค้นพุ่งทะยานอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะที่ปรากฏในโลกโซเชียล ซึ่งมีทุนเดิมของความ ‘เกลียดชังเพื่อนบ้าน’ และ ‘ชาตินิยม’ อย่างเข้มข้นอยู่ก่อนแล้ว เกิดการเผยแพร่ fake news จำนวนมาก มีการเชิญชวนให้ออกไป ‘จัดการ’ กับประชาชนกัมพูชาในประเทศไทย ไม่นับเสียงเชียร์ทหารให้ถล่มศัตรูให้ราบคาบที่ปรากฏอยู่เกือบทั้งหมดในคอมเมนท์ข่าวสารการปะทะ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทหารกำลังตอบโต้การโจมตีของประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลกำลังต่อสู้ในเกมของประชาคมโลก และประชาชนไทยตามแนวชายแดนที่กำลังเดือดร้อนอย่างรุนแรง ‘ประชาไท’ รวบรวมความคิดเห็นของคนทำสื่อ นักวิชาการ บุคลสาธารณะต่างๆ ที่อาจให้มุมมองในภาพรวมและดึงสติให้เราร่วมกันจัดการปัญหานี้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดและสูญเสียน้อยที่สุด ใบพัด นบน้อม นักเขียนและนักทำบทสัมภาษณ์ให้สื่อหลายหัว โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็น เมื่อเวลา 11.25 น. โพสต์ดังกล่าวระบุว่า “ผมทำเป็นไม่รับรู้อยู่นาน ไม่อยากให้พื้นที่ข่าวกับเรื่องพวกนี้ จึงทำเป็นไม่เห็น ไม่ให้ค่า และหงุดหงิดกับสื่อที่ไปสัมภาษณ์ทั้งทหารและอินฟลูฯโง่ๆ ที่ทำคอนเทนต์การคลั่งชาติของแต่ละฝั่งรายวัน เต็มไปด้วยการยั่วยุ อดกลั้น คลั่งชาติของสองฝั่งใส่กันไปวันๆ หงุดหงิดกว่าที่เห็นสื่อกระแสหลักหิวยอดไลก์ไปงับข่าวต่อจากพวกนี้มาเล่นต่อ ในช่วงที่มีข่าวพระ ดราม่าอื่นๆ เออ มันได้กลบข่าวพวกนี้บ้าง แต่ก็เห็นคนที่มันพยายามหาแสงกับเรื่องสงครามแว่บๆ บ้าง แต่ไม่คิดว่ามันจะมาถึงจุดนี้ “เมื่อค่ำตอนที่มีข่าวส่งทูตของกันและกันกลับ ชาวบ้านก็รู้แล้วว่า มันเป็นสัญญาณสุดท้ายของการไม่แคร์ ตอนเช้ามีซัดกันแน่นอน” “พอตอนเช้า ถนนเส้นกาบเชิง พนมดงรัก ปราสาท สุรินทร์ รถติดมาก ชาวบ้านรีบไปรับลูกกลับจาก รร. ชาวบ้านหนีไปศูนย์อพยพที่เขาจัดไว้ให้ พวกศาลาวัด โรงเรียน สถานที่ราชการ เอาไปกองๆ กันก่อน เอาคนออกมาจากพื้นที่ก่อน อย่าเพิ่งถามหาความสะดวกสบาย” “พี่สาวผมที่เป็นพยาบาลบอกว่า กำลังอพยพคนไข้กระจายไปตาม รพ.ต่างๆ โคตรวุ่น เพราะเคสมันเยอะมาก ทั่งผู้ป่วยฉุกเฉิน คนท้องใกล้คลอด ทุลักทุเลมากๆ ส่วนน้องชายพาครอบครัวหนีตายไปอยู่วัดในเมืองกับญาติทางนั้น บางคนก็ยังติดอยู่ในพื้นที่ออกมาไม่ได้ เพราะเขายังถล่มกันอยู่ เมื่อกี้เห็นข่าวลูกปืนลูกระเบิดมาตกที่หมู่บ้านนึงในอำเภอเรา (กาบเชิง) มีคนตาย เละเทะ คนที่บิวท์สงคราม คุณเห็นผลของมันรึยัง คนลำบากคือใคร” “ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็บอกเราอยู่ว่า ไม่ว่าจะผ่านการฆ่ามามากมายแค่ไหน สุดท้ายต้องจบที่โต๊ะเจรจา มันต้องคุยกัน แต่เราไม่เคยเรียนรู้เลย ทุกๆครั้งเลย ต้องมีคนตายก่อน เราถึงจะคุยกันได้ คำถามคือ ใครละ ที่จะต้องเป็นคนตาย พ่อแม่พี่น้องคนรักน้องหมาน้องแมวคุณพร้อมจะตายรึเปล่า คุณลองนึกภาพคนที่คุณรักต้องตาย แล้วท้ายสุดเราต่างสูญเสียกันพอแล้วแล้วเราต้องมาคุยกัน คนสองฝั่งที่มาคุยกัน แต่ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย คุณไหวเหรอ…ทั้งที่ผู้นำทั้งสองฝั่งควรบริหารอารมณ์ของสังคมดีๆ และควรเจรจาเพื่อไม่นำพามาสู่จุดที่จะต้องสูญเสีย ตอนนี้รัฐเสียการนำแล้ว สถานการณ์เฉพาะหน้ามันเป็นเรื่องการทหารนำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปจบที่ตรงไหน เวลาเรียนเรื่อง “สถานการณ์” อาจารย์จะถามเราว่า เวลาเกิดสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งขึ้น เราต้องตั้งคำถามว่า 1.ใครที่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้น แล้ว 2.คำถามต่อมาคือ ใครได้ประโยชน์จากเรื่องนี้บ้าง แล้วชาวบ้านที่เดือดร้อนได้อะไร?” “ผมเคยเห็นชาวบ้านที่ตายเพราะสงคราม เห็นทหารชั้นผู้น้อยที่ขาขาด แววตาแม่งเจ็บปวดกับชีวิตมากๆ ไปเดินตลาดนัดแล้วเห็นวัยรุ่นไทบ้านใส่เสื้อทหารมือสอง us เขาจะรู้มั้ยว่า เสื้อทหารที่เขาคิดว่าใส่แล้วเท่ตัวนั้น ถูกทำให้เป็นสินค้าวินเทจ มันเป็นสิ่งตกค้างประวัติศาตร์สงคราม ซึ่งตามมาด้วยการสูญเสียของ พ่อ ผัว หรือลูกชายของใครสักคน มีคนเป็นหม้าย เด็กๆ สูญเสียพ่อแม่ หรือพ่อแม่นั่นแหละที่สูญเสียลูกจากเหตุการณ์แบบนี้” นวลน้อย ธรรมเสถียร อดีตสื่อมวลชนและผู้ติดตามปัญหาความขัดแย้งภาคใต้ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก เมื่อเวลา 11.20 น. โพสต์ดังกล่าวระบุว่า “มันยกระดับเร็วมากค่ะ ล่าสุดไทยส่ง F16 ถล่มฐานทหารกัมพูชาใกล้ช่องอานม้าบอกว่าจัดการไปแล้วเรียบร้อย” “ถ้ายึดข้อมูลของฝ่ายประชาสัมพันธ์กองทัพบก การโจมตีเพิ่งจะเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 8 โมงกว่านี่เองที่ปราสาทตาเมือนธม มีชาวบ้านบาดเจ็บสามราย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกองทัพเอารูปมานำเสนอด้วย ยังมีข่าวที่มติชนรายงานด้วยอีกสายหนึ่งบอกว่ากัมพูชาเริ่มโจมตีใกล้ปราสาทพระวิหารด้วย ข่าวสายนี้ตอนนี้หายไปยังไม่มีความคืบหน้า” “ที่จริงกองทัพขอความร่วมมือตั้งแต่เช้าแล้วว่าขอไม่ให้ประชาชน/สื่อมวลชนรายงานปฏิบัติการที่จะทำให้กระทบการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหาร แต่ดูปฏิกิริยา คนที่เข้าไปให้ความเห็นหลายคนเรียกร้องให้ใช้กำลังกับกัมพูชาเพื่อที่จะได้เผด็จศึก พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่า เรื่องความขัดแย้งแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของการใช้กำลังอย่างเดียว” “กัมพูชาก็ออกข่าวเหมือนกันว่าไทยโจมตีก่อน ฮุนเซ็นพูดเอง แล้วหลังจากปะทะกันไปได้ไม่นาน หนังสือพิมพ์กัมพูชาคือพนมเปญโพสต์ตีพิมพ์บทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์รายหนึ่งในพนมเปญบอกว่าไทยเริ่มโจมตีก่อน พร้อมกันนั้นก็บอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก แล้วก็เรียกร้องว่าให้ประชาคมนานาชาติแทรกแซง บอกว่าไทยทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ” “คือตอนนี้ต่างคนต่างกล่าวหากันว่าเป็นคนเริ่มก่อน สภาพการณ์แบบนี้ การใช้กำลังที่เหนือกว่าก็อาจจะได้เปรียบในพื้นที่ในตอนแรก แต่ว่าเรื่องแบบนี้มักจะไปลงเอยที่เวทีระหว่างประเทศ เกมแบบนี้ไม่ใช่เป็นเกมของการใช้กำลังอย่างเดียว นี่เป็นเรื่องที่เราท่านพึงสังวรณ์ ไม่ใช่ว่าเรียกหาแต่การใช้กำลัง เช้านี้ ก่อนที่เอฟ 16 จะขึ้นบิน ก็มีเสียงเรียกร้องแล้วว่าให้เอาเครื่องบินรบขึ้น คือมีคนอยากเห็นใช้กำลังเยอะขนาดนี้เลยหรือ เกมมันจะไม่ได้จบที่สนามรบแน่ๆ” ในเวลาต่อมาอดีตสื่อมวลชนและผู้ติดตามปัญหาความขัดแย้งภาคใต้ยังโพสต์ตั้งข้อสังเกตทางเฟซบุ๊กอีกด้วยว่า “ขอตั้งข้อสังเกตว่า งานการทูตไทยในเรื่องความขัดแย้งกับกัมพูชานี้ช้าจริงๆ ปะทะกันหนนี้ ฮุนเซ็นกระโดดออกมาพูดเป็นคนแรกเลยว่าไทยเริ่มก่อน ปะทะกันตั้งแต่ 8.20 น. จนสายๆไทยส่ง F16 ขึ้นถล่มฐานทหารเขมร ชาวบ้านไทยเจ็บไปสาม ไทยอพยพคนออกจากรพ.และแถวชายแดน ฯลฯ ลองดูว่าเกิดอะไรขึ้นในเชิงข่าวสาร” “เริ่มจากกองทัพบกโดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ขอให้สื่อและปชช.ไม่ลงข้อมูลที่เป็นผลเสียต่อปฎิบัติการด้านความมั่นคงของกองทัพ ข่าวจากสื่อไทยรายงานเรื่องการปะทะที่มาจากที่ไกลๆ เช่นข่าวไทยพีรายงานชาวบ้านลงไปหลบในที่หลบภัย บันทึกเสียงการปะทะจากไกลๆ ข่าวอีกช่องก็คล้ายกัน คือรายงานจากไกลๆได้ยินเสียงปืนบ้างไรบ้าง มีรายงานการอพยพคน สื่อก็รายงานตามแถลงการณ์ของกองทัพบก ซึ่งนอกจากที่ขอร้องสื่อ/ปชช.ในเรื่องรายงานแล้ว ยังออกมารายงานเรื่องว่ามีการปะทะกันแล้ว และรายงานเรื่องว่ามีชาวบ้านเจ็บสาม มีลงรูปชาวบ้านนอนจมกองเลือดในบ้านแต่เบลอตัวไว้ อีกภาพเป็นภาพกองเลือดในบ้าน ซึ่งเป็นภาพที่สื่อเอามาลงกัน” “ส่วนฝั่งกัมพูชามีคลิปค่ะ เท่าที่เราดูตอนแรกๆนะ ตอนนี้ไม่รู้ยังไงแล้ว แต่ตอนแรกๆ มีแอคเค้าท์ในเอ็กซ์ที่เป็นแอคเค้าท์ติดตามข่าวความขัดแย้งระดับระหว่างประเทศอย่างน้อยๆ สองแอคเค้าที่ลงคลิปจากแนวหน้า เพื่อนๆ ไปตามดูได้ อันหนึ่งชื่อ War Noir ที่ลงมาส่วนใหญ่เหมือนจะถ่ายจากฝั่งกัมพูชา มีรูปหนึ่งที่เคลมว่าเป็นรูปทหารไทยเขียนด่าเขมรลงบนอาวุธก่อนจะยิงใส่ อีกแอคเค้าชื่อ GMI อันนี้เป็นบัญชีที่ติดตามความขัดแย้งอยู่ในสหรัฐฯ แต่ก็มีคลิปจากฝั่งเขมรเช่นกัน จากนั้นมีแอคเค้าท์คนไทยไปแอ้บมาเผยแพร่ต่อ..คือแอคเค้าท์พวกนี้ไม่รู้ว่าได้ข้อมูลมาอย่างไร พวกเขาอาจมีเครือข่ายมากมาย แต่ถ้าดูความเร็วของการรายงานข่าวทั่วไป เรารู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้ว่า อย่างน้อยคนทำงานข่าวต่างประเทศจับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดมาระยะหนึ่งแล้ว คงเห็นอาการหลายอย่างที่บ่งบอกว่าจะเกิดอะไรแน่ๆ และคลิปดูว่าถ่ายจากฝั่งกัมพูชา แต่ถ้าให้เดาอย่างใจร้ายก็ต้องบอกว่าความร่วมมือกันระดับหนึ่ง ไม่รู้ว่าระดับไหน” “แล้ว นสพ.พนมเปญโพสต์ตีพิมพ์บทความของนักวิเคราะห์ในกรุงพนมเปญชื่อ Roth Santepheap ที่พาดหัวเลยทีเดียวว่า ไทยโจมตีก่อน คือบทความปกติแล้วมันต้องใช้เวลาในการเขียน แต่นักวิเคราะห์คนนี้เขียนมาได้ว่องไวมากและที่สำคัญเขาบอกว่าเพราะไทยเริ่มก่อนและไม่ใช่หนแรก ไทยทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ นานาชาติต้องเข้าแทรกแซง การนำเรื่องไปสู่เวทีระหว่างประเทศนี่น่าจะเป็นหมุดหมายของกัมพูชาที่ใครๆ ก็มองเห็น” “แต่ว่า ในนาทีนี้เราไม่เห็นโพสต์กระทรวงต่างประเทศเลย ข่าวปะทะในสำนักข่าวต่างประเทศก็พากันโค้ดกัมพูชา ส่วนสื่อไทยก็อ้าง ทบ. ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความพร้อมในเรื่องการให้ข่าวอย่างมาก ภาพและข้อเขียนมาอย่างไว สถานการณ์ความพร้อมในการรายงานข่าวแบบนี้ดูว่าไม่แพ้การรายงานข่าวในพื้นที่ความแย้งในภาคใต้ที่ข่าวในพื้นที่ปะทะต้องพึ่งพาทหารอย่างเดียว” “ดังนั้น ข่าวสารฝั่งไทยรายงานกันอย่างมีกรอบ ยังดี ข้อมูลด้านพลเรือนปล่อยให้เล่นกันไป แต่ชัดเจนว่าข้อมูล front line มาจากทหาร ส่วนกัมพูชาเรารู้สึกว่าเปิดพื้นที่ให้สื่อนอกอย่างที่เห็นๆ พร้อมเดินหน้าเรียกร้องพื้นที่ในเวทีระหว่างประเทศ ส่วนไทยนั้น กระทรวงต่างประเทศหายไปไหนไม่รู้ ที่เขียนนี่คือเที่ยงกว่ายังไม่เห็นเลยสักโพสต์เดียว กลายเป็นว่าคนรับหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้ข่าวความขัดแย้งระหว่างประเทศหนนี้คือทหารเป็นหลัก คิดหรือว่าความขัดแย้งนี้จะจบได้ที่กำลัง การเมืองและการทูตไทยหายไปไหน” ศ. ดร ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอดีตนักการทูตไทย ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก โดยเตือนคนไทยบางส่วนไม่ให้หลงไปกับกระแสคลั่งชาติจนไปทำร้ายคนกัมพูชา จากกรณีที่ในโลกโซเชียลเริ่มมีอินฟลูเอนเซอร์และชาวเน็ตเริ่มแคมเปญทำร้ายคนเขมรในไทย “หลังจากเขมรเผาสถานทูตไทยแล้ว คนคลั่งชาติเขมรยังไม่หยุดแค่นั้น พวกเค้ายังมุ่งหน้าไปทำลายทรัพย์สินของภาคเอกชนไทยและทำร้ายคนไทย โรงแรมหลายแห่งที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ ถูกเผาราบ คนคลั่งชาติเหล่านี้บุกเข้าไปในโรงแรม ถีบประตูห้องทุกบาน เพื่อเปิดดูว่ามีคนไทยพักในห้องไหม เพื่อนๆ ดิชั้นที่เป็นคนไทยส่วนหนึ่งโดนทำร้าย ส่วนหนึ่งต้องแอบใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า ส่วนที่เหลือก็หนีตาย ดิชั้นโชคดีกว่าเค้าเพราะดิชั้นพักในโรงแรมฝรั่ง แต่กระนั้น สถานการณ์ก็น่ากลัวมาก ดิชั้นหนีไปทางสนามบิน แต่การจราจรติดขัด พวกคลั่งชาติเขมรถือไม้หน้า 3 เดินตรวจรถยนต์ทุกคันว่ามีคนไทยไหม ดิชั้นต้องโกหกไปว่าเป็นคนสิงคโปร์ รอดไปได้อย่างหวุดหวิด” “...วันนี้ คนไทยคลั่งอยากทำแบบเดียวกับเขมรเมื่อปี 2003 โดยเริ่มมีแคมเปญทำร้ายคนเขมรในไทย ไม่ว่าจะเป็นแรงงานถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย ทำไมเราถึงเอาตัวอย่างไม่ดีมาทำตาม วันนั้นดิชั้นถามตัวเองว่า เราผิดอะไรที่เป็นคนไทย วันนี้คนเขมรในไทยคงคิดแบบเดียวกับดิชั้นว่าเค้าผิดอะไรที่เป็นคนเขมร ดิชั้นบอกเลยว่า เกมนี้มันโหดร้ายป่าเถื่อนมาก ถ้าเราทำคนเขมรในไทย ก็ให้ระวังคนไทยและทรัพย์สินไทยในเขมรด้วย ซึ่งมีมากกว่ามาก และอย่าหวังว่ารัฐบาลเขมรมันจะคุ้มครองถ้าประชาชนมันบ้าคลั่งขึ้นมา” ก่อนหน้านั้นเมื่อเวลา 13.45 น. ปวินโพสต์วิเคราะห์แนวทางการต่อสู้ของกัมพูชาในเวทีโลก โพสต์ดังกล่าวระบุว่า “กัมพูชาเร็วมาก ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) แล้ว ขั้นตอนเพื่อการแก้ไขปัญหาก็จะเริ่มต้นขึ้นทันทีค่ะ จดหมายนั้นจะถือเป็นการแจ้งข่าวสำคัญถึงภัยคุกคามต่อสันติภาพที่เกิดขึ้น พอได้รับจดหมายแล้ว ทางคณะมนตรีความมั่นคงฯ ก็จะรีบเรียกประชุมฉุกเฉิน เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสถานการณ์สงครามเต็มรูปแบบ ...ในการประชุมครั้งนั้น สมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงฯ จะประเมินสถานการณ์อย่างละเอียด เพื่อตัดสินใจว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นเข้าข่ายเป็น "ภัยคุกคามต่อสันติภาพ" ตามกฎบัตรของสหประชาชาติหรือไม่ การตัดสินใจนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่าคณะมนตรีความมั่นคงฯ จะสามารถใช้มาตรการประเภทใดได้บ้างเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งในระยะแรก คณะมนตรีฯ มักจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาด้วยวิธีทางการทูตและแนวทางที่สงบก่อน โดยอาจจะเรียกร้องให้มีการหยุดยิงหรือลดความรุนแรงของสถานการณ์ หรืออาจจะเสนอให้มีการไกล่เกลี่ย โดยมอบหมายให้เลขาธิการสหประชาชาติ หรือแต่งตั้งทูตพิเศษเพื่อทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเจรจา ...แต่ถ้าหากความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติไม่ประสบผลสำเร็จ คณะมนตรีความมั่นคงฯ ก็อาจจำเป็นต้องพิจารณาใช้มาตรการบังคับที่จริงจังมากขึ้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะมีผลผูกพันทางกฎหมาย ตัวอย่างเช่น การใช้มาตรการที่ไม่ใช่ทางทหารอย่างการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การสั่งห้ามเดินทาง หรือการอายัดทรัพย์สินของฝ่ายที่ก่อปัญหา หรือในกรณีที่ร้ายแรงและจำเป็นจริงๆ คณะมนตรีฯ อาจจะอนุญาตให้มีการใช้กำลังทหารเพื่อเข้าไปแทรกแซงเพื่อรักษาสันติภาพและฟื้นฟูความมั่นคงให้กลับคืนมา แต่สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ มติสำคัญใดๆ ที่จะผ่านในคณะมนตรีความมั่นคงฯ นั้นจะต้องได้รับเสียงเห็นชอบจากสมาชิก 9 ใน 15 ประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือต้องไม่มีสมาชิกถาวร 5 ประเทศ อันได้แก่ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาใช้อำนาจยับยั้ง (veto) หากมีการใช้อำนาจยับยั้ง มตินั้นก็จะไม่สามารถผ่านได้ ทำให้คณะมนตรีความมั่นคงฯ อาจไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ในทางปฏิบัติ (ต้องมานั่งคิดว่า ไทยเราเป็นมิตรกับอี 5 ประเทศนี้แค่ไหน) ...และในกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงฯ ไม่สามารถตัดสินใจดำเนินการได้ เนื่องจากถูกใช้อำนาจยับยั้ง หรือมีความเห็นไม่ลงรอยกัน สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติอาจเข้ามามีบทบาทได้ภายใต้แนวคิด "การรวมพลังเพื่อสันติภาพ" เพื่อเสนอแนะมาตรการให้ประเทศสมาชิก อย่างไรก็ตาม ควรทำความเข้าใจว่า มติของสมัชชาใหญ่โดยทั่วไปจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรงเหมือนกับมติที่ออกมาจากคณะมนตรีความมั่นคงฯ ค่ะ โดยสรุปแล้ว เขมรส่งจดหมายถึงคณะมนตรีความมั่นคงฯ ถือเป็นการเรียกร้องให้ประชาคมโลกเข้ามาช่วยแก้ปัญหา โดยจะเริ่มจากขั้นตอนทางการทูตไปจนถึงการใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้น แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเห็นชอบและการตัดสินใจของสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจของ 5 ประเทศสมาชิกถาวรค่ะ” ต่อมาเมื่อเวลา 16.40 น. ปวินโพสต์อีกด้วยว่า “โอเค รมต กต ไทย ถึง UN ที่นิวยอร์คแล้ว แม้เขมรส่งจดหมายไปฟ้อง UN Security Council แต่ไทยยังมีแต้มต่อทางการทูต ดังนี้ ...การที่ประเทศไทยอ้างว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อนและได้ทำลายสถานที่พลเรือน เช่น โรงพยาบาล ถือเป็น จุดแข็งสำคัญที่ไทยจะใช้ในการเจรจาหรือแสดงออกในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สหประชาชาติค่ะ ประการแรก การโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างโรงพยาบาลโดยตรงนั้นเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อย่างร้ายแรง หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กฎหมายสงคราม" ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมสงคราม ภายใต้อนุสัญญาเจนีวาที่นานาชาติให้การยอมรับอย่างกว้างขวาง หากไทยมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ากัมพูชาได้กระทำการเช่นนั้นจริง จะเป็นการสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อกัมพูชาในสายตาของประชาคมโลก และเป็นการลดความชอบธรรมในการดำเนินการทางทหารของกัมพูชาลงอย่างมาก ...ประการที่สอง หากไทยสามารถพิสูจน์ได้ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน นั่นหมายถึงกัมพูชาเป็นฝ่ายรุกรานโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งจะทำให้การกระทำของไทยเป็นการป้องกันตนเองโดยชอบธรรม ตามที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 การเน้นย้ำประเด็นนี้จะช่วยลดข้อกล่าวหาที่ว่าไทยเป็นฝ่ายก่อความรุนแรง หรือทำให้ความขัดแย้งบานปลาย ทำให้ท่าทีของไทยในเวทีโลกดูชอบธรรมและเป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตยของตน ...ประการที่สาม การทำลายโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บ ถือเป็นการกระทำที่สะเทือนใจและมักจะดึงดูดความเห็นอกเห็นใจและการสนับสนุนจากนานาชาติได้เป็นอย่างดี การนำเสนอข้อมูลนี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ไทยได้รับการสนับสนุนทั้งทางการเมืองและด้านมนุษยธรรมจากประเทศอื่นๆ และองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การออกคำประณามกัมพูชา หรือการเรียกร้องให้มีการสอบสวนการกระทำดังกล่าว ในทางกลับกัน หากข้อกล่าวหาของไทยได้รับการยืนยันด้วยหลักฐานที่เชื่อถือได้ จะทำให้ความน่าเชื่อถือของกัมพูชาลดลง อย่างมากในสายตาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและประชาคมโลก ทำให้ข้อเรียกร้องหรือคำชี้แจงใดๆ ของกัมพูชาต่อจากนั้นอาจถูกมองด้วยความกังขามากขึ้น ...อย่างไรก็ตาม การจะใช้ข้ออ้างเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุดนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนและไม่อาจโต้แย้งได้ ซึ่งอาจรวมถึงภาพถ่าย วิดีโอ หรือหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ของโรงพยาบาลที่ถูกทำลาย หรือพื้นที่พลเรือนที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงรายงานการสืบสวนที่ละเอียดถี่ถ้วนและคำให้การของพยานที่เชื่อถือได้ หากไทยสามารถนำเสนอข้อเท็จจริงพร้อมหลักฐานเหล่านี้ได้อย่างหนักแน่นในเวทีสหประชาชาติ โดยเฉพาะต่อคณะมนตรีความมั่นคงฯ ก็จะเป็นการสร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อกัมพูชา และอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อจุดยืนของไทย หรือส่งผลให้มีการตรวจสอบการกระทำของกัมพูชาเพิ่มเติมค่ะ ...ไปถึงนิวยอร์คแล้ว อย่าให้เสียเปล่า” ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 12.54 น. นักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอดีตนักการทูตไทย ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า “อาเซียนเคลมนักเคลมหนาว่าไม่เคยมีสงครามขนาดใหญ่ระหว่างประเทศสมาชิกตั้งแต่ก่อตั้งองค์กรในปี 1967 วันนี้แหละ วันที่สงครามไทย-กัมพูชาเริ่มก่อตัว มันจะเป็นเรื่องท้าทายความ relevance ของอาเซียนอย่างมาก” “ในส่วนของความสัมพันธ์ทวิภาคี ดิชั้นอยากเตือนว่า ยิ่งความขัดแย้งบานปลายเท่าไหร่ วิธีการแก้ไขยิ่งยากมากขึ้น เหมือนทั้งสองฝ่ายกำลังขุดหลุมฝังตัวเอง ยิ่งเกิดสงคราม หลุมที่ขุดก็ยิ่งลึก มันจะกลับขึ้นมาลำบาก ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การปะทะกันครั้งนี้ ในปี 2025 ที่มันเปลี่ยนแปลงไปก็คือ บทบาทของโซเชียลมีเดีย ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา บอกเลยว่า แม้โซเชียลมีเดียมันจะอัพเดทสถานการณ์ความตึงเครียดให้เรารู้แบบ real time แต่มันก็กลายมาเป็นพื้นที่ของการยั่วยุ การปล่อยข่าวเท็จ การสร้างกระแสชาตินิยม ที่รัฐ/กองทัพไม่อาจควบคุมมันได้ จนถึงต้องฝากเตือนกันว่า อย่าโพสต์อะไรที่จะทำให้ฝ่ายเราเสียเปรียบ ...พูดว่าอย่าโพสต์อะไรที่เราจะเสียเปรียบ เนี่ยงงใจกับกองทัพบกมาก เรียกร้องให้ชาวเน็ตติดแฮ็ชแท็ค #กัมพูชายิงก่อน เพื่ออะไร ทำไมกองทัพต้องมาทำอะไรแบบนี้ การปะทะมันเกิดขึ้นไปแล้ว นาทีนี้ต้องคิดว่าทำยังไงจะยุติมัน ไม่ใช่เติมเชื้อเพลิงในกองไฟ เพราะคนที่เสียหายจริง ๆ มีแค่คนตามแนวชายแดน และทหารไพร่ที่ต้องเสี่ยงตาย ไม่ใช่ผู้นำกองทัพหรือนักรบไซเบอร์ที่เชียร์สงครามในห้องแอร์” ย้อนไปวานนี้ (23 ก.ค.) เวลา 22.53 น. ณรรธราวุธ เมืองสุข อาชีพบรรณาธิการข่าว โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ก่อนสถานการณ์จะบานปลายในวันรุ่งขึ้น ระบุว่า “การสร้างความตึงเครียด ทำให้เส้นบางๆ ที่คั่นภาวะศึกสงครามขาดผึงได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์เลย อย่างน้อยก็สำหรับคนที่อยู่ตรงชายแดน 2-3 สัปดาห์ก่อน รุ่นพี่นักข่าว สันติวิธี พ. เลียบเลาะริมชายแดนฝั่งตะวันออก ไปคุยกับชาวบ้านที่บาดเจ็บเสียแขนขา เพราะลูกหลงจากการสู้รบในอดีต รุ่นพี่กลับมาเล่าให้ฟังว่า ความรู้สึกชาวบ้านนั้นเจ็บปวดและหวาดหวั่นกับการปลุกระดมให้สู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา แต่พวกเขารู้สึกว่าเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยเกินไป ไม่มีทางที่จะเสียงเขาดังจนจะมีใครได้ยิน ก็เป็นหน้าที่สื่อมวลชนอย่างเราๆ พี่ต้องช่วยกัน” “ยอมรับจริงๆ ว่า สังคมเราขาดวุฒิภาวะมานานแล้ว การปล่อยให้เกิดรัฐประหารยึดอำนาจซ้ำๆนั่นก็อย่างหนึ่ง แต่การปล่อยให้ influencer หรือ youtuber คนดังโลกโซเชียลชี้นำสังคมไปเสียทุกเรื่อง ก็เป็นเรื่องน่าอับอายเช่นกัน ทำราวกับว่าในสังคมนี้ไม่มีวิจารณญาณเอาเสียเลย คนพวกนี้สะสมชื่อเสียงขึ้นมาได้ด้วยการสร้างบทบาทสังคมสงเคราะห์ และทำหน้าที่แทนรัฐในหลายเรื่อง ก็ต้องยอมรับว่าหลายเรื่องก็ทำได้ดี เพราะรัฐบาลโดยเฉพาะท้องถิ่นเราบกพร่อง หน่วยงานยุติธรรมเราแย่ แต่กับบางเรื่อง เราควรทบทวนสติกันให้ดีๆ เพราะมันเรื่องใหญ่ และเกี่ยวพันกับชีวิตคน สิ่งที่สังคมกำลังเอาไปแลกคือสติปัญญาที่ปล่อยให้คนพวดนี้คิดแทน ทำแทน” “เพราะเมื่อคนพวกนี้สะสมแสงในตัวมากพอ ก็จะขับเคลื่อนสังคมตามใจนึก อย่างไร้สามัญสำนึกพื้นฐาน แม้แต่กับเรื่องใหญ่อย่างความขัดแย้งชายแดน ซึ่งอาจปั่นขยายใหญ่โตกลายเป็นศึกสงคราม เราเอาความเป็นมนุษย์ไปแลกกับอารมณ์ความคลั่งชาติ หยิบยื่นใบอนุญาตให้นักสร้างความเกลียดชัง หากยังไม่หยุดคนฉิบหายคือชาวบ้านแถบนั้น ส่วนคนพวกนั้นพอเรื่องบานปลายเลวร้ายก็ถอยฉาก รอสร้างซีนใหม่จากเรื่องอื่น” รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็น เมื่อ 10.46 น. “เราต้องยอมรับว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน การเจรจาไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะหลังจากที่มีคลิปเสียงของคุณแพทองธารหลุดออกมา ประกอบกับการวางทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนโดยฝั่งกัมพูชา ซึ่งไทยจำเป็นต้องตอบโต้เรื่องนี้อย่างเหมาะสม สิ่งที่ฝ่ายไทยสามารถดำเนินการได้ทันที คือการเชิญตัวแทนจากนานาประเทศเข้ามาสังเกตการณ์สถานการณ์ เพื่อให้เห็นด้วยตาตนเองว่ากัมพูชามีพฤติกรรมก้าวร้าว และจงใจยั่วยุให้สถานการณ์บานปลาย” “กระทรวงการต่างประเทศควรดำเนินงานเชิงรุกมากกว่าที่เป็นอยู่ การรอให้เรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามอนุสัญญาออตตาวาในเดือนธันวาคม อาจสายเกินไป เราควรนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) เพื่อประณามการกระทำของกัมพูชาที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ หากกระทรวงการต่างประเทศสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิภาพ ผมเชื่อว่าจะช่วยลดความจำเป็นในการใช้อาวุธระหว่างสองประเทศลงได้” “หากเราสามารถทำให้นานาอารยประเทศเข้าใจว่าประเทศไทยไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาที่จงใจยั่วยุและผลักดันให้สถานการณ์เลวร้ายลง ผมเชื่อว่านั่นจะเปิดโอกาสให้ไทยสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างสงบ” “ผมขอฝากถึงรัฐบาลว่า หากเกิดความขัดแย้งทางอาวุธขึ้นจริง รัฐจะต้องให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง และเด็ก แม้จะมีการเตรียมการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินไว้อย่างดีในพื้นที่ แต่เราไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อนานเพียงใด รัฐจึงควรมีแผนรองรับประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในทุกรูปแบบความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น” รศ. ดร. ปกป้อง ศรีสนิท อาจารย์ประจำและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นประเด็นกฎหมายระหว่างประเทศผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อเวลา 16.46 น. 1. การยิงเป้าหมายพลเรือน โรงพยาบาล ในการขัดกันทางอาวุธระหว่างประเทศเป็นอาชญากรรมสงคราม (war crimes) ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ความผิดอาญาร้ายแรงสูงสุดตามธรรมนูญกรุงโรม 2. การใช้อาวุธโจมตีดินแดนรัฐอื่น ที่ไม่ใช่การป้องกันตนเอง หรือตามมติของสหประชาชาติ เป็นอาชญากรรมรุกราน (aggression) ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ความผิดร้ายแรงสูงสุดตามธรรมนูญกรุงโรมเช่นกัน เป็นอาชญากรรมรุกรานได้แม้จะไม่มีทหารบุกรุกเข้ามา 3. กัมพูชาเป็นรัฐภาคีธรรมนูญกรุงโรม ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) จึงมีเขตอำนาจดำเนินคดีกับการกระทำเกิดขึ้นในดินแดนรัฐภาคี หรือกระทำโดยบุคคลสัญชาติของรัฐภาคี 4. ไทยไม่ใช่ภาคีของธรรมนูญกรุงโรม แต่อาจแสดงเจตนายอมรับอำนาจศาล ICC เฉพาะเรื่องตามข้อ12(3) ได้ (ad hoc acceptance) ซึ่งการยอมรับดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐภาคีธรรมนูญกรุงโรม เพียงแต่ให้ศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจดำเนินคดีกับการกระทำเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศได้ 5. ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) มีอำนาจดำเนินคดี รวมทั้งออกหมายจับกับบุคคลธรรมดาผู้กระทำความผิดอาญาร้ายแรงสูงสุด 4 ฐาน หากเข้าเงื่อนไขที่กำหนด หากมีการออกหมายจับแล้ว อย่างน้อย125 ประเทศภาคีจะให้ความร่วมมือ ศาลอาญาระหว่างประเทศ(ICC) ไม่ใช่ศาลโลก(ICJ) ที่มีอำนาจชี้ขาดข้อพิพาทเรื่องเขตแดน * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * ความมั่นคง * กัมพูชา * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * ลัทธิชาตินิยม http://dlvr.it/TM5RcX