loading . . . สำรวจความเปราะบางผู้สูงอายุ: สกลนครติดอันดับเสี่ยงที่สุด ขอนแก่นน้อยสุด สำรวจความเปราะบางผู้สูงอายุ: สกลนครติดอันดับเสี่ยงที่สุด ขอนแก่นน้อยสุด
Rocket Media Lab รายงาน
admin666
Mon, 2025-11-24 - 21:00
* ภาคเหนือเป็นภาคที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางในด้านสุขภาพกายสูงที่สุด โดยจังหวัดที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางในด้านสุขภาพกายสูงที่สุด คือ กำแพงเพชร
* ภาคที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางในด้านสุขภาพจิตสูงที่สุด คือ ภาคเหนือ โดยจังหวัดที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางในด้านสุขภาพจิตสูงที่สุด คือ แพร่
* หากรวมทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต พบว่าภาคเหนือเป็นภาคที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางสูงที่สุด และกำแพงเพชรเป็นจังหวัดเปราะบางทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตต่อผู้สูงอายุ อันดับ 1
* ภาคที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางในด้านเศรษฐกิจสูงสุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจังหวัดที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางในด้านเศรษฐกิจสูงสุด คือ นราธิวาส
* ภาคที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางในด้านที่อยู่อาศัยสูงสุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจังหวัดที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางในด้านที่อยู่อาศัยสูงสุด คือ สกลนคร
* ในภาพรวมทั้ง 3 มิติ ภาคที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางสูงสุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางสูงสุด คือ สกลนคร ในขณะที่ต่ำที่สุดคือ ขอนแก่น
สังคมผู้สูงวัยกำลังเป็นปัญหาที่ท้าทายทั่วโลก โดยองค์การสหประชาชาติ ได้ให้นิยามว่า ‘ผู้สูงอายุ’ คือ ประชากรทั้งเพศชายและ เพศหญิงซึ่งมีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ส่วนคำว่า "สังคมผู้สูงอายุ" องค์การสหประชาชาติ แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับการก้าวเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) และระดับสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) โดยให้นิยามของระดับต่างๆ ซึ่งทั้งประเทศไทยและรวมทั้งประเทศต่างๆ ทั่วโลกใช้ความหมายเดียวกันในนิยามของทุกระดับของสังคมผู้สูงอายุดังนี้
* การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ การมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปรวมทั้งเพศชายและเพศหญิง มากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี เกินร้อยละ 7 ของประชากรทั้งประเทศ
* สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ คือ เมื่อประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 หรือ ประชากรอายุ 65 ปี เพิ่มเป็นร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ
* สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด คือ สังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ
นอกจากนี้องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) จำนวนประชากรของผู้สูงอายุทั่วโลกที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จะเพิ่มสัดส่วนเป็นเท่าตัว จาก 605 ล้านคน หรือ ร้อยละ 11 ของ จำนวนประชากรโลกทั้งหมด เป็น 2 พันล้านคน หรือ ร้อยละ 22 กล่าวโดยสรุปคือ 1 ใน 5 ของประชากรโลกจะมีอายุตั้งแต่ 65 ปี ขึ้นไป
ในขณะที่ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2567 มีผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 14,027,411 คน คิดเป็น 20% ของประชากรทั้งประเทศ ทำให้ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) เนื่องจากมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 20% ของประชากร
การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัย ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และเกิดภาระงบประมาณในการดูแลผู้สูงอายุ ทั้งในด้านสาธารณสุข สวัสดิการ การเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานต่างๆ ซึ่งทำให้ภาครัฐและทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำเป็นต้องวางแผนนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาและเตรียมการสำหรับอนาคตเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Rocket Media Lab ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำข้อมูลการศึกษาพื้นที่เปราะบางต่อผู้สูงอายุ ทั้งในมิติด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และที่อยู่อาศัย เพื่อใช้ในการเฝ้าระวัง และวางแผนนโยบายในอนาคตเพื่อรับมือกับสังคมสูงวัยในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย
มิติด้านสุขภาพ : แก่ตัวไป กาย-ใจ ใครจะดูแล
จากข้อมูลสถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร ของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง พบว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุ 14,027,411 คน หรือคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งถือว่าไทยเป็นประเทศสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์แล้ว อันหมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และเมื่อพิจารณาเป็นรายพื้นที่จะพบว่า จังหวัดที่มีจำนวนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งหมดในจังหวัดเป็นสัดส่วนสูงสุด 10 อันดับแรก คือ น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย พะเยา อุทัยธานี แพร่ พิษณุโลก ลำปาง นครสวรรค์ และกำแพงเพชร จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่เป็นจังหวัดในภาคเหนือ และภาคกลางตอนบน
แต่ถึงอย่างนั้นเราก็อาจจะยังไม่สามารถสรุปได้ว่าพื้นที่จังหวัดในภาคเหนือเป็นพื้นที่เปราะบางต่อผู้สูงวัยสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสุขภาพ ในการจะหาพื้นที่เปราะบางต่อผู้สูงอายุในด้านสุขภาพ โดยเริ่มต้นจากสุขภาพกาย จะใช้ข้อมูลรายจังหวัดทั้งโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และทรัพยากรสาธารณสุข เพื่อพิจารณาว่าพื้นที่จังหวัดใดนอกจากจะมีผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อในสัดส่วนที่สูงแล้ว ยังมีทรัพยากรทางสาธารณสุขไม่เพียงพอในการดูแลอีกด้วย
ผู้สูงอายุกับความเปราะบางต่อโรคไม่ติดต่อ
เมื่อพิจารณาโรคไม่ติดต่อที่ผู้สูงอายุป่วยเป็นจำนวนมากจาก 5 โรคที่มีข้อมูลแยกเป็นรายจังหวัด คือ โรคเบาหวาน โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิต และโรคทางเดินหายใจ โดยใช้ข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC) ปี 2567 กระทรวงสาธารณสุข และนำมาคำนวณเป็นคะแนนว่าพื้นที่ใดมีจำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อ 5 โรค ต่อจำนวนประชากรสูงอายุ โดยใช้หลัก Normalization and Scaling ซึ่งเป็นวิธีการสากลที่ใช้ในการคำนวณการจัดอันดับ โดยมีสูตรดังนี้
Index = (((X - Min) / (Max - Min))*(1 - คะแนนเต็ม))+1
X คือ ตัวเลขข้อมูลที่จะใช้คำนวณ
Max คือ ตัวเลขข้อมูลสูงสุด
Min คือ ตัวเลขข้อมูลต่ำสุด
คะแนนเต็ม คือ คะแนน Index เต็ม
ซึ่งจังหวัดที่ได้คะแนนมาก หมายถึง จังหวัดที่มีความเปราะบางต่ำ ส่วนจังหวัดที่ได้คะแนนน้อย หมายถึง จังหวัดที่มีความเปราะบางสูง โดยหลังจากนั้นจะนำคะแนนไปรวมกันเพื่อจัดอันดับพื้นที่เปราะบางต่อผู้สูงอายุ โดยพบว่า
จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานต่อประชากรสูงอายุ สูงที่สุด 10 อันดับแรก คือ
* สิงห์บุรี 32.96% คิดเป็น 1 คะแนน
* อ่างทอง 30.89% คิดเป็น 8.03 คะแนน
* นครนายก 30.21% คิดเป็น 10.33 คะแนน
* ชัยนาท 26.49% คิดเป็น 22.99 คะแนน
* พังงา 26.18% คิดเป็น 24.02 คะแนน
* สมุทรสงคราม 24.63% คิดเป็น 29.31 คะแนน
* แพร่ 24.33% คิดเป็น 30.33 คะแนน
* จันทบุรี 24.32% คิดเป็น 30.35 คะแนน
* พัทลุง 23.93% คิดเป็น 31.66 คะแนน
* เลย 23.42% คิดเป็น 33.40 คะแนน
ในภาพรวมของประเทศไทย พบว่ามีผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน จำนวน 2,329,795 คน คิดเป็น 16.61% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด หากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่าภาคที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานต่อประชากรสูงอายุสูงที่สุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็น 19.94% ของประชากรสูงอายุ ตามด้วยภาคเหนือ 17.60% ภาคตะวันออก 17.35% ภาคใต้ 17.20% ภาคตะวันตก 16.47% และภาคกลาง 13.17%
หากพิจารณาในระดับจังหวัดจะพบว่า จังหวัดในภาคกลางอยู่ใน 10 อันดับแรกถึง 5 จังหวัดด้วยกัน และใน 10 อันดับแรกก็มีการกระจายตัวแทบครบทุกภาค และมีจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งจังหวัดสูงที่สุด 10 อันดับแรกเพียง 1 จังหวัด คือ แพร่ โดยจะเห็นว่าสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานต่อประชากรสูงอายุสูงที่สุด คือ สิงห์บุรี จำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน 13,016 คน คิดเป็น 32.96% ของประชากรสูงอายุ ในขณะที่น้อยที่สุดคือ กรุงเทพฯ จำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน 55,458 คน คิดเป็น 3.81% ของประชากรสูงอายุ
จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพองต่อประชากรสูงอายุ สูงที่สุด 10 อันดับแรก คือ
* กรุงเทพฯ 0.42% คิดเป็น 1 คะแนน
* ตรัง 0.35% คิดเป็น 17.61 คะแนน
* พะเยา 0.35% คิดเป็น 17.67 คะแนน
* นครนายก 0.32% คิดเป็น 24.78 คะแนน
* เพชรบุรี 0.31% คิดเป็น 28.15 คะแนน
* กระบี่ 0.26% คิดเป็น 38.17 คะแนน
* ชุมพร 0.26% คิดเป็น 39.75 คะแนน
* ราชบุรี 0.24% คิดเป็น 42.92 คะแนน
* สมุทรสาคร 0.22% คิดเป็น 47.61 คะแนน
* ปัตตานี 0.21% คิดเป็น 49.73 คะแนน
ในภาพรวมของประเทศไทย พบว่ามีผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง จำนวน 16,866 คน คิดเป็น 0.12% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด หากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่าภาคที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพองต่อประชากรสูงอายุสูงที่สุดคือ ภาคกลาง 0.18% ของประชากรสูงอายุ ตามด้วยภาคตะวันตก 0.16% ภาคเหนือ 0.15% ภาคใต้ 0.12% ภาคตะวันออก 0.06% และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 0.05%
หากพิจารณาในระดับจังหวัดจะพบว่า จังหวัดในภาคใต้อยู่ใน 10 อันดับแรกถึง 4 จังหวัดด้วยกัน และมีจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งจังหวัดสูงที่สุด 10 อันดับแรก 1 จังหวัด คือ พะเยา โดยจะเห็นว่าสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพองต่อประชากรสูงอายุสูงที่สุด คือ กรุงเทพฯ จำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง 6,123 คน คิดเป็น 0.42% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด ในขณะที่น้อยที่สุดคือ อุทัยธานี จำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง 2 คน คิดเป็น 0.0028% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด
จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดต่อประชากรสูงอายุ สูงที่สุด 10 อันดับแรก คือ
* อ่างทอง 7.60% คิดเป็น 1 คะแนน
* จันทบุรี 5.74% คิดเป็น 25.47 คะแนน
* นครนายก 5.26% คิดเป็น 31.71 คะแนน
* สิงห์บุรี 4.39% คิดเป็น 43.24 คะแนน
* พัทลุง 4.08% คิดเป็น 47.28 คะแนน
* พะเยา 3.60% คิดเป็น 53.60 คะแนน
* ชุมพร 3.60% คิดเป็น 53.63 คะแนน
* อุดรธานี 3.48% คิดเป็น 55.17 คะแนน
* สระบุรี 3.38% คิดเป็น 56.53 คะแนน
* แพร่ 3.23% คิดเป็น 58.47 คะแนน
ในภาพรวมของประเทศไทย พบว่ามีผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด จำนวน 227,748 คน คิดเป็น 1.62% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด หากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่าภาคที่มีผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดต่อประชากรสูงอายุมากที่สุดคือ ภาคกลาง 1.84% ของประชากรสูงอายุ ตามด้วยภาคตะวันออก 1.70% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1.63% ภาคเหนือ 1.51% ภาคใต้ 1.25% และภาคตะวันตก 1.08%
หากพิจารณาในระดับจังหวัดจะพบว่า จังหวัดในภาคกลางอยู่ใน 10 อันดับแรกถึง 4 จังหวัดด้วยกัน และมีจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งจังหวัดสูงที่สุด 10 อันดับแรก 2 จังหวัด คือ แพร่ และพะเยา โดยจะเห็นว่าสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดต่อประชากรสูงอายุสูงที่สุด คือ อ่างทอง จำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด 4,004 คน คิดเป็น 7.60% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด ในขณะที่น้อยที่สุดคือ เลย จำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด 93 คน คิดเป็น 0.08% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด
จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจต่อประชากรสูงอายุ สูงที่สุด 10 อันดับแรก คือ
* ศรีสะเกษ 27.33% คิดเป็น 1 คะแนน
* พัทลุง 23.07% คิดเป็น 18.42 คะแนน
* ชัยนาท 20.85% คิดเป็น 27.48 คะแนน
* พะเยา 19.80% คิดเป็น 31.76 คะแนน
* นครนายก 19.56% คิดเป็น 32.77 คะแนน
* สิงห์บุรี 19.19% คิดเป็น 34.25 คะแนน
* สมุทรสงคราม 18.69% คิดเป็น 36.32 คะแนน
* ร้อยเอ็ด 18.24% คิดเป็น 38.15 คะแนน
* ตรัง 18.08% คิดเป็น 38.78 คะแนน
* อำนาจเจริญ 17.86% คิดเป็น 39.72 คะแนน
ในภาพรวมของประเทศไทย พบว่ามีผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ จำนวน 1,645,931 คน คิดเป็น 11.73% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด หากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่าภาคที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจต่อประชากรสูงมากที่สุดคือ ตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็น 14.91% ของประชากรสูงอายุ ตามด้วยภาคใต้ 13.94% ภาคเหนือ 12.85% ภาคตะวันตก 10.67% ภาคตะวันออก 9.80% และภาคกลาง 8.50%
หากพิจารณาในระดับจังหวัดจะพบว่า จังหวัดในภาคกลางอยู่ใน 10 อันดับแรกถึง 4 จังหวัดด้วยกัน และมีจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งจังหวัดสูงที่สุด 10 อันดับแรก 1 จังหวัด คือ พะเยา โดยจะเห็นว่าสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจต่อประชากรสูงอายุสูงที่สุด คือ ศรีสะเกษ จำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ 58,058 คน คิดเป็น 27.33% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด ในขณะที่น้อยที่สุดคือ กรุงเทพฯ จำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหาย 45,233 คน คิดเป็น 3.11% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด
จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตต่อประชากรสูงอายุ สูงที่สุด 10 อันดับแรก คือ
* สิงห์บุรี 72.98% คิดเป็น 1 คะแนน
* นครนายก 63.82% คิดเป็น 14.03 คะแนน
* อ่างทอง 62.82% คิดเป็น 15.46 คะแนน
* พังงา 62.74% คิดเป็น 15.57 คะแนน
* ชัยนาท 61.43% คิดเป็น 17.43 คะแนน
* แพร่ 60.62% คิดเป็น 18.59 คะแนน
* สมุทรสงคราม 60.47% คิดเป็น 18.81 คะแนน
* พัทลุง 57.90% คิดเป็น 22.46 คะแนน
* ชุมพร 57.45% คิดเป็น 23.10 คะแนน
* จันทบุรี 55.66% คิดเป็น 25.64 คะแนน
ในภาพรวมของประเทศไทย พบว่ามีผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิต จำนวน 4,898,535 คน คิดเป็น 34.92% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด หากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่าภาคที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตต่อประชากรสูงมากที่สุดคือ ภาคเหนือ คิดเป็น 44.63% ของประชากรสูงอายุ ตามด้วยภาคใต้ 42.12% ภาคตะวันตก 39.93% ภาคตะวันออก 37.07% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 36.28% และภาคกลาง 27.32%
หากพิจารณาในระดับจังหวัดจะพบว่า จังหวัดในภาคกลางอยู่ใน 10 อันดับแรกถึง 5 จังหวัดด้วยกัน และมีจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งจังหวัดสูงที่สุด 10 อันดับแรก 1 จังหวัด คือ แพร่ โดยจะเห็นว่าสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตต่อประชากรสูงอายุสูงที่สุด คือ สิงห์บุรี จำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิต 28,816 คน คิดเป็น 72.98% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด ในขณะที่น้อยที่สุดคือ กรุงเทพฯ จำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิต 49,945 คน คิดเป็น 3.43% ของประชากรสูงอายุทั้งหมด
จากข้อมูลทั้งหมด เมื่อนำข้อมูลผู้สูงอายุที่ป่วยโรคเบาหวาน โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิต และโรคทางเดินหายใจ ต่อจำนวนประชากรสูงอายุที่เรียงลำดับการให้คะแนนไว้แล้วมารวมกัน เพื่อหาคะแนนเฉลี่ยในแต่ละจังหวัด เพื่อจัดอันดับจังหวัดที่มีผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อ รวมทั้ง 5 โรค โดยจังหวัดที่ได้คะแนนมาก หมายถึง จังหวัดที่มีความเปราะบางต่ำ ส่วนจังหวัดที่ได้คะแนนน้อย หมายถึง จังหวัดที่มีความเปราะบางสูง พบว่า
จังหวัดที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางจากโรคไม่ติดต่อ 5 โรคสูงที่สุด10 อันดับแรก คือ
* นครนายก 22.73 คะแนน
* อ่างทอง 31.93 คะแนน
* พะเยา 33.50 คะแนน
* สิงห์บุรี 35.55 คะแนน
* พัทลุง 39.59 คะแนน
* ชุมพร 41.66 คะแนน
* จันทบุรี 43.68 คะแนน
* ตรัง 46.38 คะแนน
* สมุทรสงคราม 46.93 คะแนน
* พังงา 47.19 คะแนน
จากข้อมูล หากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่าภาคที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางโดยพิจารณาจากโรคไม่ติดต่อ 5 โรค สูงที่สุดคือ ภาคเหนือ 57.42 คะแนน ซึ่งเป็นภาคที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรมากที่สุด ตามด้วยภาคกลาง 60.99 คะแนน ภาคใต้ 62.22 คะแนน ภาคตะวันตก 64.52 คะแนน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 65.10 คะแนน และภาคตะวันออก 65.55 คะแนน
หากพิจารณาในระดับจังหวัด พบว่า ใน 10 อันดับแรกมีจังหวัดในภาคกลางถึง 4 จังหวัด และจังหวัดในภาคใต้อีก 4 จังหวัด นอกจากนี้ยังพบว่า ใน 10 อันดับแรก มี 1 จังหวัดที่มีจำนวนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งหมดในจังหวัดเป็นสัดส่วนสูงสุด 10 อันดับแรกอีกด้วย ซึ่งคือ พะเยา และยังพบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นภาคที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ และโรคเบาหวานต่อประชากรสูงมากที่สุด แต่กลับไม่พบจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการป่วยโรคไม่ติดต่อ
ความสามารถในการรองรับดูแลสุขภาพกายของผู้สูงอายุ
ไม่เพียงแค่นั้น หากเราพิจารณาถึงความสามารถในการรองรับดูแลสุขภาพกายของผู้สูงอายุโดยพิจารณาจากทรัพยากรทางสาธารณสุขที่มีในแต่ละประเภท ทั้ง จำนวนอายุรแพทย์ พยาบาล และเตียง โดยใช้ข้อมูลจากรายงานข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุข ประจำปี 2567 สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข เปรียบเทียบกับจำนวนผู้สูงอายุในจังหวัดนั้นๆ เพื่อให้เห็นว่าทรัพยากรทางสาธารณสุขในแต่ละจังหวัดมีความสามารถในการรองรับดูแลสุขภาพกายของผู้สูงอายุมากน้อยแค่ไหน จะพบว่า
จังหวัดที่มีจำนวนผู้สูงอายุต่อจำนวนอายุรแพทย์ 1 คน สูงที่สุด 10 อันดับแรก คือ
* บึงกาฬ 11,771.43 คน คิดเป็น 1 คะแนน
* เพชรบูรณ์ 8,421.82 คน คิดเป็น 30.21 คะแนน
* กำแพงเพชร 7,647.37 คน คิดเป็น 36.96 คะแนน
* แม่ฮ่องสอน 7,115.11 คน คิดเป็น 41.60 คะแนน
* มุกดาหาร 6,752.53 คน คิดเป็น 44.76 คะแนน
* นครพนม 6,561.47 คน คิดเป็น 46.43 คะแนน
* หนองบัวลำภู 5,723.16 คน คิดเป็น 53.74 คะแนน
* นราธิวาส 5,432.08 คน คิดเป็น 56.28 คะแนน
* ชัยภูมิ 5,298.73 คน คิดเป็น 57.44 คะแนน
* ยโสธร 5,129.90 คน คิดเป็น 58.91 คะแนน
ในภาพรวมของประเทศไทย พบว่ามีอายุรแพทย์ 9,097 คน คิดเป็นสัดส่วนผู้สูงอายุ 1,541.98 คนต่อจำนวนอายุรแพทย์ 1 คนหากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่าภาคที่มีจำนวนผู้สูงอายุต่อจำนวนอายุรแพทย์มากที่สุด คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวนผู้สูงอายุ 3,068.25 คนต่ออายุรแพทย์ 1 คน ตามด้วยภาคตะวันตก ผู้สูงอายุ 2,653.69 คนต่ออายุรแพทย์ 1 คน ภาคเหนือ ผู้สูงอายุ 2,076.34 คนต่ออายุรแพทย์ 1 คน ภาคใต้ ผู้สูงอายุ 2,053.45 คนต่ออายุรแพทย์ 1 คน ภาคตะวันออก ผู้สูงอายุ 1,371.73 คนต่ออายุรแพทย์ 1 คน และภาคกลาง ผู้สูงอายุ 952.82 คนต่ออายุรแพทย์ 1 คน
หากพิจารณาในระดับจังหวัดจะพบว่า จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ใน 10 อันดับแรกถึง 6 จังหวัดด้วยกัน และมีจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งจังหวัดสูงที่สุด 10 อันดับแรก 1 จังหวัด คือ กำแพงเพชร โดยจะเห็นว่าจังหวัดที่มีจำนวนผู้สูงอายุต่อจำนวนอายุรแพทย์สูงที่สุด คือ บึงกาฬ โดยมีจำนวนอายุรแพทย์ 7 คน คิดเป็นสัดส่วนผู้สูงอายุ 11,771.43 คนต่ออายุรแพทย์ 1 คน ในขณะที่ต่ำที่สุดคือ นครนายก โดยมีจำนวนอายุรแพทย์ 98 คน คิดเป็นสัดส่วนผู้สูงอายุ 417.70 คนต่ออายุรแพทย์ 1 คน
จังหวัดที่มีจำนวนผู้สูงอายุต่อจำนวนพยาบาล 1 คน สูงที่สุด 10 อันดับแรก คือ
* กำแพงเพชร 156.42 คน คิดเป็น 1 คะแนน
* หนองบัวลำภู 146.16 คน คิดเป็น 9.36 คะแนน
* สุโขทัย 143.04 คน คิดเป็น 11.90 คะแนน
* เพชรบูรณ์ 135.37 คน คิดเป็น 18.15 คะแนน
* พิจิตร 122.02 คน คิดเป็น 29.02 คะแนน
* มุกดาหาร 121.45 คน คิดเป็น 29.49 คะแนน
* สมุทรปราการ 120.96 คน คิดเป็น 29.89 คะแนน
* บึงกาฬ 112.88 คน คิดเป็น 36.47 คะแนน
* แม่ฮ่องสอน 111.76 คน คิดเป็น 37.38 คะแนน
* ชัยภูมิ 105.76 คน คิดเป็น 42.26 คะแนน
ในภาพรวมของประเทศไทย พบว่ามีพยาบาลในระบบ 198,836 คน คิดเป็นสัดส่วนผู้สูงอายุ 70.55 คนต่อจำนวนพยาบาล 1 คน หากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ภาคที่มีผู้สูงอายุต่อพยาบาลมากที่สุดคือ ภาคตะวันตก มีจำนวนผู้สูงอายุ 89.34 คนต่อพยาบาล 1 คน ตามมาด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้สูงอายุ 84.68 คนต่อพยาบาล 1 คน ภาคเหนือ ผู้สูงอายุ 78.83 คนต่อพยาบาล 1 คน ภาคใต้ ผู้สูงอายุ 63.18 คนต่อพยาบาล 1 คน ภาคกลาง ผู้สูงอายุ 62.37 คนต่อพยาบาล 1 คน และภาคตะวันออก ผู้สูงอายุ 60.11 คนต่อพยาบาล 1 คน
หากพิจารณาในระดับจังหวัด พบว่ามีจังหวัดในภาคกลางติดใน 10 อันดับแรกถึง 5 จังหวัดด้วยกัน และมีจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งจังหวัดสูงที่สุด 10 อันดับแรก 2 จังหวัด คือ สุโขทัย และกำแพงเพชร โดยจะเห็นว่าจังหวัดที่จำนวนผู้สูงอายุต่อพยาบาลสูงที่สุด คือ กำแพงเพชร มีจำนวนพยาบาล 1,320 คน คิดเป็นสัดส่วนผู้สูงอายุ 156.42 คนต่อพยาบาล 1 คน ในขณะที่ต่ำที่สุดคือ กรุงเทพฯ มีจำนวนพยาบาล 41,766 คน คิดเป็นสัดส่วนผู้สูงอายุ 34.88 คนต่อพยาบาล 1 คน
จังหวัดที่มีจำนวนผู้สูงอายุต่อเตียงสูงที่สุด 10 อันดับแรก คือ
* กำแพงเพชร 196.27 คน คิดเป็น 1 คะแนน
* หนองบัวลำภู 152.72 คน คิดเป็น 29.45 คะแนน
* สุโขทัย 145.51 คน คิดเป็น 34.16 คะแนน
* เพชรบูรณ์ 143.70 คน คิดเป็น 35.35 คะแนน
* มุกดาหาร 133.63 คน คิดเป็น 41.93 คะแนน
* พิจิตร 128.22 คน คิดเป็น 45.46 คะแนน
* แม่ฮ่องสอน 122.91 คน คิดเป็น 48.93 คะแนน
* บึงกาฬ 118.56 คน คิดเป็น 51.77 คะแนน
* ระนอง 117.63 ต่อ คิดเป็น 52.38 คะแนน
* เชียงราย 114.05 คน คิดเป็น 54.72 คะแนน
หากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ภาคที่มีจำนวนผู้สูงอายุต่อจำนวนเตียงมากที่สุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจำนวนผู้สูงอายุ 93.99 คนต่อเตียง ตามมาด้วยภาคเหนือ ผู้สูงอายุ 90.67 คนต่อเตียง ภาคตะวันตก ผู้สูงอายุ 89.35 คนต่อเตียง ภาคใต้ ผู้สูงอายุ 74.08 คนต่อเตียง ภาคกลาง ผู้สูงอายุ 72.79 คนต่อเตียง และภาคตะวันออก ผู้สูงอายุ 67.72 คนต่อเตียง
หากพิจารณาในระดับจังหวัดจะพบว่า จังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ใน 10 อันดับแรกถึงภาคละ 3 จังหวัดด้วยกัน และมีจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งจังหวัดสูงที่สุด 10 อันดับแรก 2 จังหวัด คือ สุโขทัย และกำแพงเพชร โดยจะเห็นว่าจังหวัดที่มีจำนวนผู้สูงอายุต่อเตียงสูงที่สุด คือ กำแพงเพชร มีจำนวนเตียง 1,052 เตียง คิดเป็นสัดส่วนผู้สูงอายุ 196.27 คนต่อเตียง 1 เตียง ในขณะที่ต่ำที่สุดคือ นครนายก มีจำนวนเตียง 915 เตียง คิดเป็นสัดส่วนผู้สูงอายุ 44.74 คนต่อเตียง 1 เตียง
จากข้อมูลทั้งหมด เมื่อนำข้อมูลจำนวนผู้สูงอายุต่อทั้งอายุรแพทย์ พยาบาล และเตียง ที่เรียงลำดับการให้คะแนนไว้แล้วมารวมกัน เพื่อหาคะแนนเฉลี่ยในแต่ละจังหวัด เพื่อจัดอันดับจังหวัดที่มีทรัพยากรทางสาธารณสุขต่อผู้สูงอายุ โดยจังหวัดที่ได้คะแนนมาก หมายถึง จังหวัดที่มีความเปราะบางต่ำ ส่วนจังหวัดที่ได้คะแนนน้อย หมายถึง จังหวัดที่มีความเปราะบางสูง โดยพบว่า
จังหวัดที่ผู้สูงอายุมีความเปราะบางด้านทรัพยากรสาธารณสุขในประเด็นสุขภาพกายสูงที่สุด 10 อันดับแรก คือ
* กำแพงเพชร 12.99 คะแนน
* เพชรบูรณ์ 27.90 คะแนน
* บึงกาฬ 29.75 คะแนน
* หนองบัวลำภู 30.85 คะแนน
* สุโขทัย 36.19 คะแนน
* มุกดาหาร 38.73 คะแนน
* แม่ฮ่องสอน 42.64 คะแนน
* พิจิตร 48.16 คะแนน
* นครพนม 54.17 คะแนน
* ชัยภูมิ 54.76 คะแนน
หากพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ภาคที่มีความสามารถในการรองรับดูแลสุขภาพกายของผู้สูงอายุต่ำที่สุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 60.39 คะแนน ตามด้วยภาคเหนือ 66.28 คะแนน ภาคตะวันตก 67.42 คะแนน ภาคกลาง 67.38 คะแนน ภาคใต้ 78.07 คะแนน และภาคตะวันออก 80.25 คะแนน
หากพิจารณาในระดับจังหวัดจะพบว่า มีจังหวัดในภาคกลางอยู่ใน 10 อันดับแรกถึง 5 จังหวัดด้วยกัน และมีจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งจังหวัดสูงที่สุด 10 อันดับแรก 2 จังหวัด คือ กำแพงเพชร และสุโขทัย โดยจะเห็นว่าจังหวัดที่มีความเปราะบางต่อผู้สูงอายุในประเด็นทรัพยากรสาธารณสุขในด้านสุขภาพกายต่ำที่สุด คือ กำแพงเพชร 41.77 คะแนน ในขณะที่สูงที่สุดคือ ภูเก็ต 88.30 คะแนน
ดังนั้น เมื่อนำคะแนนความเปราะบางต่อผู้สูงอายุโดยพิจารณาจากโรคไม่ติดต่อ 5 โรค และคะแนนความสามารถในการรองรับดูแลสุขภาพกายของผู้สูงอายุ มารวมกัน จะพบว่า
* ข่าว
* คุณภาพชีวิต
* สุขภาพ
* สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
* Rocket Media Lab http://dlvr.it/TPRN48