loading . . . สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 10-16 พ.ย. 2568 สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 10-16 พ.ย. 2568
auser15
Sun, 2025-11-16 - 10:29
อธิบดี กสร. สั่งตรวจข้อเท็จจริง–เอาผิดนายจ้าง เหตุลูกจ้างเสียชีวิตในถัง Scrubber จ.กระบี่
เรือเอก สาโรจน์ คมคาย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงเหตุการณ์อุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับลูกจ้างรับเหมาทำความสะอาดถัง Scrubber ในจังหวัดกระบี่ ว่า ได้รับรายงานจากสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดกระบี่ว่าสถานประกอบกิจการที่เกิดเหตุดังกล่าวตั้งอยู่ ต.ปลายพระยา อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ ประกอบกิจการกลั่นน้ำมันปาล์ม ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาให้ทำความสะอาดถัง Scrubber ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร สูง 10 เมตร จำนวน 4 ถัง โดยผู้รับเหมาดังกล่าวได้มอบหมายให้ลูกจ้างรวม 6 คน เป็นแรงงานไทย 1 คน ทำหน้าที่หัวหน้าชุด อีก 5 คน เป็นแรงงานเมียนมา ในการปฏิบัติงานลูกจ้างชาวเมียนมา 2 คน ทำหน้าที่ลงไปในถัง Scrubber และมีลูกจ้างอีก 1 คน ทำหน้าที่ช่วยงานบริเวณปากถัง ระหว่างปฏิบัติงานลูกจ้างใช้น้ำฉีดตะกอนซัลเฟอร์ที่ทับถมภายในถังทำให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ส่งผลให้ลูกจ้างทั้งสองสูดดมบรรยากาศอันตรายดังกล่าวจนทำให้ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิต และมีลูกจ้างได้รับบาดเจ็บจากการเข้าไปช่วยเหลืออีก 1 ราย จากการตรวจสอบเบื้องต้นของพนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดกระบี่ พบว่าก่อนปฏิบัติงานผู้ควบคุมงานของบริษัทได้ตรวจวัดก๊าซต่าง ๆ ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์, ค่า LEL, ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ และก๊าซออกซิเจน ซึ่งผลอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ไม่มีการบันทึกค่าการตรวจวัดและไม่ได้ออกใบอนุญาตเข้าทำงานในที่อับอากาศให้แก่ผู้รับเหมา รวมทั้งไม่มีการอบรมให้แก่ลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในที่อับอากาศ ซึ่งในกรณีนี้เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 และกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับที่อับอากาศ พ.ศ.2562 ทั้งนี้ พนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดกระบี่ จะเชิญนายจ้างมาให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมและหากพบว่านายจ้างมีความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจะดำเนินคดีกับนายจ้างตามกฎหมายต่อไป
กรมฯ ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอย้ำเตือนนายจ้างและสถานประกอบกิจการทุกแห่งว่างานในที่อับอากาศเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งด้านการตรวจวัด การออกใบอนุญาต การควบคุมงาน และการอบรมลูกจ้าง หากพบการฝ่าฝืน กรมฯ จะดำเนินการตามกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น” อธิบดีฯ กล่าว
ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย, 15/11/2568
สธ.ไฟเขียวใช้ตำแหน่งว่าง เลื่อนขรก.สายวิชาการสู่ “ชำนาญการพิเศษ-เชี่ยวชาญ”
นพ.ภูวเดช สุระโคตร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปฏิบัติราชการแทนปลัด สธ. ลงนามในหนังสือเรื่อง “การใช้ตำแหน่งว่างและการคัดเลือกข้าราชการเพื่อเลื่อนขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับชำนาญการพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ ในสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข” ส่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ลงวันที่ 12 พ.ย. 2568 รวมถึงส่งหนังสือเรื่องเดียวกันนี้ให้กับผู้ตรวจราชการ สธ. เขตสุขภาพที่ 1 – 12 ด้วย
โดยหนังสือระบุว่า ตามที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) ขอปรับแผนการปฏิบัติงานตามแนวทางการบริหารอัตราว่างของ สป.สธ. เป็นการเฉพาะคราว ประจำปีงบประมาณ 2569 โดยให้ชะลอการใช้ตำแหน่งข้าราชการ ตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 2568 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง นั้น
ทั้งนี้ เพื่อให้มีบุคลากรในการควบคุม กำกับ ติดตาม ตลอดจนการบริหารจัดการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เหมาะสม มีประสิทธิภาพ ประกอบกับ สธ. ได้มีคำสั่งกำหนดเขตสุขภาพ และมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการ สธ. และรักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการ สธ. ปฏิบัติงานในเขตสุขภาพ สธ. จึงให้หน่วยงานสามารถใช้ตำแหน่งว่างข้าราชการสำหรับการเลื่อนขั้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับชำนาญการพิเศษ และระดับเชี่ยวชาญ โดยให้ถือปฏิบัติตามหนังสือ สป.สธ. ด่วนที่สุด ที่ สธ. 0208.02/ว 142 ลงวันที่ 28 ม.ค. 2568 และดำเนินการคัดเลือกข้าราชการเพื่อเลื่อนขั้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้
ที่มา: Hfocus, 15/11/2568
กรมการจัดหางาน เตือนภัยมิจฉาชีพแอบอ้างบริการเอกสารแรงงานต่างด้าวผ่านออนไลน์ หลอกโอนเงิน – นำข้อมูลเปิดบัญชีม้า
นายสมชาย มรกตศรีวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบว่ามีการใช้สื่อออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์ และเพจเฟซบุ๊ก แอบอ้างให้บริการด้านเอกสารแรงงานต่างด้าวครบวงจ อาทิ การต่ออายุใบอนุญาตทำงาน การนำเข้าแรงงานตามระบบ MOU การเปลี่ยนนายจ้าง และการแจ้งออก โดยมิจฉาชีพเหล่านี้มักสร้างเว็บไซต์หรือเพจปลอม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและชักชวนให้นายจ้าง ผู้ประกอบการหลงเชื่อ โอนเงินเป็นค่าดำเนินการจำนวนหลายล้านบาท แต่ไม่มีการดำเนินการตามที่กล่าวอ้าง นอกจากนี้ยังพบการนำข้อมูลส่วนตัวของคนต่างด้าวไปใช้เปิดบัญชีม้า เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย หรือขายต่อให้กับเว็บไซต์พนันออนไลน์ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับแรงงานและนายจ้างเป็นจำนวนมาก
นายสมชาย กล่าวต่อว่า กรมการจัดหางานไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบและเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ หากพบว่าบริษัทที่ได้รับอนุญาตกระทำความผิด จะดำเนินการสั่งพักหรือเพิกถอนใบอนุญาตทันที ในส่วนบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนประกอบธุรกิจนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ หากมีการโฆษณาเชิญชวนว่าสามารถดำเนินการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานได้โดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีโทษ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ที่หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ หรือหาลูกจ้างคนต่างด้าวให้กับนายจ้าง โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับ ตั้งแต่ 600,000 – 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“กรมการจัดหางานได้เฝ้าระวังการโฆษณารับให้บริการด้านเอกสารแรงงานต่างด้าว ผ่านสื่อออนไลน์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการหลอกลวงนายจ้าง สถานประกอบการ และคนต่างด้าว พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้นายจ้างสถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ขอย้ำเตือนนายจ้าง สถานประกอบการก่อนตัดสินใจโอนเงินให้บริษัทรายใด ขอให้ตรวจสอบรายชื่อบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศจากกรมการจัดหางาน ที่เว็บไซต์กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน doe.go.th/ipd หรือสามารถข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0 2354 1729 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน” นายสมชาย กล่าว
ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย, 15/11/2568
ห่วงนักศึกษาไทยใช้ AI ไม่เหมาะสม ทักษะมนุษย์ถูกทำลาย อยู่ไม่รอดในตลาดแรงงาน
รศ.ดร.ดำรงค์ อดุลยฤทธิกุล รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงพฤติกรรมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ไม่เหมาะสมของนักศึกษาปัจจุบันจนนำไปสู่ปัญหาการขาดทักษะทางการเรียนรู้ ตอนหนึ่งว่า หนึ่งในปัญหาจากการใช้ AI ทุกวันนี้ คือนักศึกษาพึ่งพิง AI มากเกินความพอดี อาทิ ใช้ทำการบ้านแทนทั้งหมด ใช้ในการทำข้อสอบแทนทั้งหมด หรือใช้เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงโดยไม่มีการตรวจสอบซ้ำ
พฤติกรรมเหล่านี้ถือเป็นภาพสะท้อนของการใช้ AI อย่างไม่เข้าใจและขาดจริยธรรม ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะทำให้นักศึกษาขาดทักษะการคิด วิเคราะห์ อันเป็นทักษะสำคัญเป็นทักษะที่ต้องการของตลาดแรงงาน และเป็นสิ่งชี้วัดในการอยู่รอดในตลาดแรงงาน
รศ.ดร.ดำรงค์ กล่าวต่อว่า การใช้ AI อย่างไม่เหมาะสมจะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขวางกั้นการพัฒนาทักษะและการเรียนรู้โดยตรง และยังส่งผลต่อการอยู่รอดในตลาดแรงงานในอนาคตด้วย เนื่องจากการพึ่งพิง AI มากเกินพอดีระหว่างการเรียนในรายวิชาต่าง ๆ จะทำให้นักศึกษาขาดทักษะเฉพาะศาสตร์ที่กำลังศึกษาอยู่ รวมถึงขาดทักษะการสื่อสาร ขาดการพลิกแพลงหรือประยุกต์ใช้องค์ความรู้ที่ได้เรียนมา ไม่สามารถอธิบายเนื้อหาตามความเข้าใจได้ นั่นเพราะคำตอบทั้งหมดเกิดจาก AI แต่ไม่ได้เกิดจากตัวของผู้ใช้ AI ที่สุดแล้วแทนที่การมีทักษะ AI จะช่วยให้อยู่รอดในตลาดแรงงาน กลับกลายเป็นจะทำให้เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะไม่ถูกเลือกแทน
“การใช้ AI เป็นสิ่งที่จะปฏิเสธหรือห้ามใช้กันคงไม่ได้ และ AI ในปัจจุบันก็ช่วยลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนและทำงานได้จริง ฉะนั้นประเด็นจึงอยู่ที่ขอบเขตการใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักศึกษาทุกคนต้องรู้ และช่วยให้กระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพไม่ถูกทำลาย” รศ.ดร.ดำรงค์ กล่าว
รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า การให้แนวทางและหลักเกณฑ์ที่สำคัญในการใช้ AI อย่างถูกต้องตามหลักจริยธรรมนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ผู้สอนควรมีการชี้แจงเรื่องนี้ให้มีชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นจัดการเรียนการสอนในแต่ละรายวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการระบุไว้ใน Course Syllabus อย่างชัดเจนก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักศึกษารวมถึงการให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่นักศึกษาระหว่างการเรียนการสอนหรือระหว่างการทำงานที่ได้รับมอบหมายก็จะช่วยทำให้นักศึกษาได้ประโยชน์และนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
สำหรับเส้นกั้นของการใช้ AI อย่างเหมาะสมที่ชัดเจนก็คือ เป้าหมายในการใช้ เช่น ในด้านการเรียนก็ต้องมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาทักษะ ไม่ใช่ทำลายกระบวนการพัฒนาทักษะ รวมถึงการออกแบบ-กำหนดสัดส่วนการทำชิ้นงานด้วยตัวของผู้เรียนเอง ที่จะทำให้นักศึกษาเรียนรู้ถึงความเหมาะสม เช่น กรณีนักศึกษาได้รับโจทย์ให้เขียนบทความภาษาอังกฤษ นักศึกษาจึงร่างบทความเป็นภาษาไทยแล้วให้ AI แปลส่งอาจารย์ ตรงนี้มองได้ว่านักศึกษาไม่ได้แสดงสมรรถนะของตนเองในด้านภาษา ซึ่งเป็นทักษะที่โจทย์ต้องการ จึงทำให้ขาดทั้งความคิดริเริ่มในการผลิต (Originality) และความเป็นเจ้าของผลงาน (Ownership)
“การใช้เป็นกับการใช้อย่างถูกต้องไม่เหมือนกัน ใช้เป็นคือใช้ AI ได้หลายตัวเลย และใช้ทำแทนเกือบทุกอย่างแต่ไม่ได้มีการเรียนรู้ไปด้วย ส่วนใช้อย่างถูกต้องคือรู้ว่าใช้อย่างไรและจะเรียนรู้จากสิ่งที่ใช้อย่างไรได้บ้างเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่เกิดผลกระทบเชิงลบ สิ่งเหล่านี้จะเป็นจริงได้ต้องอาศัยทั้งตัวผู้เรียน ผู้สอน และสถาบันการศึกษาสนับสนุน” รศ.ดร.ดำรงค์ กล่าว
รศ.ดร.ดำรงค์ กล่าวว่า ปัจจุบันธรรมศาสตร์มีการสนับสนุนให้นักศึกษาใช้ AI เป็นตัวช่วยในการค้นคว้าหาข้อมูล หรือเพิ่มประสิทธิภาพของชิ้นงาน โดยในปีการศึกษา 2568 ธรรมศาสตร์ได้มีการจัดเรียนการสอนด้านจริยธรรมการใช้ AIผ่านรายวิชาการศึกษาทั่วไป TU280 จริยธรรมปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้นำอนาคต เพื่อให้นักศึกษาตระหนัก และใช้ AI อย่างถูกต้อง และในหลักสูตรปีการศึกษา 2570 ได้ปรับให้มีการเรียนการสอน AI ในด้านต่าง ๆ เป็นวิชาบังคับด้วย สอดคล้องแนวนโยบายของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
นอกจากนี้ ธรรมศาสตร์ยังมีการซื้อซอฟต์แวร์สำหรับตรวจจับการใช้ AI ในชิ้นงานด้วยอีกส่วนทั้งการคัดลอก และสัดส่วนในการใช้ ไปจนถึงด้านงานวิชาการก็มีการนำหลักการ Declaration of Generative AI ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมาใช้ด้วย โดยหลักการนี้เป็นการกำหนดให้ต้องระบุให้ชัดเจนถึงการนำ AI มาใช้ในการวิจัย อาทิ ใช้ AI ประเภทไหนช่วยทำวิจัย ใช้ทำอย่างไร
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 14/11/2568
ไทย–อิตาลี หารือยกระดับแรงงาน ชูโมเดลอาชีวะ–บำนาญชราภาพ-ส่งเสริมการคุ้มครองแรงงาน พร้อมดึงแรงงานไทยสู่อิตาลีเพิ่ม
นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายเปาโล ดีโอนีซี (Mr.Paolo Dionisi) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย ที่เข้าพบเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเข้ารับตำแหน่งใหม่ และหารือแนวทาง ยกระดับความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างไทย-อิตาลี โดยมี พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทน อธิบดีกรมการจัดหางาน นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทน อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และนายศักดินาถ สนธิศักดิ์โยธิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหาร ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน
นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขอบคุณที่เห็นถึงความสำคัญและทักษะของแรงงานไทย ประเทศไทยและสาธารณรัฐอิตาลีมีความสัมพันธ์อันดีและยาวนานในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม และการแลกเปลี่ยนบุคลากร ซึ่งความร่วมมือด้านแรงงานก็ถือเป็นอีกหนึ่งมิติสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้น การพบกันในวันนี้ เป็นโอกาสที่จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างสองประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ซึ่งตนจะนำการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านแรงงานในวันนี้มาปรับประยุกต์ใช้
พร้อมระบุว่าไทยพร้อมร่วมมือกับอิตาลีในการ ขยายโอกาสแรงงานไทยสู่ตลาดยุโรป และส่งเสริมการรวมกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองทางธุรกิจและยกระดับมาตรฐานแรงงานไทยให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ไทยยังพร้อมสนับสนุนความร่วมมือในมิติด้านอื่นๆ การโชว์ศักยภาพแรงงานไทยในสาขาต่าง ๆ เพื่อให้ตลาดโลกเห็นถึงคุณภาพของแรงงานไทยมากยิ่งขึ้น
ขณะที่นายเปาโล ดีโอนีซี (Mr.Paolo Dionisi) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย กล่าวชื่นชมแรงงานไทยว่าเป็นแรงงานที่มีศักยภาพและมีทักษะสูง ได้รับการยอมรับในตลาดแรงงานยุโรป โดยอิตาลีมีความต้องการแรงงานไทยในหลายสาขา เช่น สาธารณสุข เกษตร และภาคอื่นๆ รวมปีละกว่า 20,000–30,000 คน พร้อมเสนอแนวทางความร่วมมือเพิ่มเติม ได้แก่ ความร่วมมือด้านอาชีวศึกษาและการจัดตั้งศูนย์ฝึกแรงงานร่วม การถ่ายทอด โมเดลบำนาญชราภาพของอิตาลี การแลกเปลี่ยนนโยบายด้าน การคุ้มครองแรงงานและสวัสดิการครอบครัว เช่น สิทธิการลาคลอด การดูแลบุตร และระบบศูนย์เด็กเล็ก เพื่อสนับสนุนคุณภาพชีวิตแรงงานและการเพิ่มอัตราประชากรในระยะยาว ซึ่ง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเดินหน้าความร่วมมือ เพื่อยกระดับศักยภาพแรงงานไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานยุโรป และสร้างความสัมพันธ์ไทย–อิตาลีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในอนาคต
ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 13/11/2568
สหภาพแรงงานการทางพิเศษฯ ขอช่วยตรวจสอบโครงการทางด่วน 2 ชั้น ห่วงสัญญาขัดกฎหมาย เอื้อนายทุน EIA ไม่โปร่งใส
นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) และประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะกมธ. รับการยื่นหนังสือจาก นายบัณฑิต พรึงลำภู ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) และ นายนที ศิริธรรมวัฒน์ ผู้แทนชุมชนเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ขอให้ตรวจสอบความโปร่งใสและทบทวนการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการก่อสร้างทางพิเศษยกระดับสองชั้น (Double Deck) ซ้อนทับทางพิเศษศรีรัช ช่วงงามวงศ์วาน–พระราม 9 พร้อมเรียกร้องให้ชะลอโครงการออกไปก่อน
นายบัณฑิต กล่าวว่า สหภาพฯ มีความกังวลต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เสียง ฝุ่นละออง และปัญหาการเวนคืนที่ดินใจกลางเมือง ซึ่งจะกระทบประชาชนใต้ทางด่วนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าโครงการดังกล่าวเป็นการต่อยอดจากการเจรจาระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ที่ให้เอกชนลงทุนปรับปรุงทางด่วนขั้นที่ 2 แต่สัญญาที่เกี่ยวข้องกลับไม่เปิดเผยให้ตรวจสอบ และอาจขัดต่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 รวมถึง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ทั้งนี้ สหภาพฯ เคยทำหนังสือเสนอให้ทบทวนโครงการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว จนรัฐบาลชุดก่อนภายใต้การกำกับของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีคำสั่งชะลอโครงการ เพราะเห็นว่าต้องพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและข้อกฎหมาย นอกจากนี้ สหภาพฯ ยังแสดงความกังวลต่อกรณีที่มีการเชื่อมโยงนโยบายลดค่าผ่านทาง 50 บาทตลอดเส้นทาง ของรัฐบาลปัจจุบัน เข้ากับโครงการ Double Deck ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกัน และสามารถดำเนินนโยบายลดค่าผ่านทางได้โดยไม่ต้องก่อสร้างโครงการใหม่
ด้าน นายนที ผู้แทนชุมชนเขตพญาไท กล่าวว่า ประชาชนในพื้นที่กว่า 300 ครัวเรือน หรือราว 1,000 คน ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ เสียง และการจราจรติดขัด อีกทั้งการทำรายงาน EIA ไม่มีการประชาสัมพันธ์หรือเปิดรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนอย่างเพียงพอ แบบสอบถามไม่ชัดเจน และขาดข้อมูลการเยียวยาประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม จึงเรียกร้องให้ กมธ. ตรวจสอบแผนการใช้งบประมาณ การเวนคืน และกระบวนการทำ EIA ใหม่ทั้งหมด
นายสุรเชษฐ์ กล่าวย้ำว่า กมธ. ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 และพบปัญหาหลายประการ จึงเตรียมใช้เวทีกมธ. ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ของประชาชน เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศ ขณะเดียวกันวันนี้ (13 พ.ย. 68) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีกำหนดเข้าชี้แจงต่อคณะกมธ. ซึ่งหากเสร็จสิ้นเร็วจะนำประเด็นนี้เข้าสอบถามต่อทันที และในส่วนของ ปชน. จะประกาศจุดยืนต่อเรื่องดังกล่าวหลังได้รับข้อมูลครบถ้วน เพราะโครงการนี้เป็นโครงการใหญ่ที่มีอายุสัมปทานยาวหลายสิบปี ไม่ควรปล่อยให้รัฐบาลชั่วคราวที่มีวาระเพียง 4 เดือน เป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องสำคัญระดับประเทศเช่นนี้
ที่มา: สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา, 13/11/2568
กรมจัดหางานรับสมัคร ‘หญิงไทย’ ไปทำงานภาคเกษตรที่อิสราเอล รายได้ 6.2 หมื่น/เดือน
นายสมชาย มรกตศรีวรรณ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) เปิดเผยว่า กกจ.เปิดรับสมัครเพื่อคัดเลือกคนหางานไปทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers: TIC) ครั้งที่ 19 ตำแหน่งคนงานภาคเกษตร (เพศหญิง) เพื่อสร้างโอกาสในการทำงานให้แก่แรงงานไทยในต่างประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่มุ่งยกระดับรายได้และสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวแรงงานไทย โดยมีระยะเวลาการจ้างงานตามสัญญาจ้าง 2 ปี ต่อได้ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน คนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำก่อนหักภาษีเดือนละ 6,248 เชคเกลอิสราเอล หรือ ประมาณ 62,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ toea.doe.go.th เพื่อทำการลงทะเบียนในระบบอิเล็กทรอนิกส์ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ได้ตั้งแต่บัดนี้ –วันที่ 13 พฤศจิกายน 2568
นายสมชาย กล่าวว่า สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครงานครั้งนี้ มีดังนี้ 1.เพศหญิง สัญชาติไทย 2.อายุ 23 – 39 ปี (เกิดระหว่างวันที่ 12 พ.ย. 2529 – 13 พ.ย.2545) 3.ไม่มีประวัติอาชญากรรม ประวัติการใช้ยาเสพติด และติดแอลกอฮอล์ 4.ไม่มีบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตร พำนักอาศัยหรือได้รับการจ้างงานอยู่ในประเทศอิสราเอล
5.สุขภาพแข็งแรง ตาไม่บอดสี ไม่เป็นโรคติดต่อ ไม่เสพสารเสพติด หรือเสพติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ
6.ต้องมีประสบการณ์ทำงานภาคการเกษตร ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดและวิธีการสมัครได้ที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หัวข้อ “ข่าวประกาศรับสมัคร” หรือ Facebook : กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรณีผู้สมัครไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดหรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 เพื่อดำเนินการสมัครให้ โดยหากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ทางโทรศัพท์หมายเลข 02-245-0978 และ 08-0061-6576 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
ที่มา: มติชนออนไลน์, 12/11/2568
กกร. แถลงจุดยืน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับใหม่ แนะศึกษาผลกระทบรอบด้าน หวั่นกระทบเชื่อมั่นนักลงทุน
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงจุดยืนต่อร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ 1. ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2. ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด และ 3. ร่าง พ.ร.บ.โรงงาน โดยขอให้มีการประเมินผลกระทบอย่างรอบด้าน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร) กล่าวว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นชอบรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 68 และอยู่ระหว่างเสนอสภาผู้แทนราษฎร 1 ฉบับนั้น
กกร. ได้รับข้อร้องเรียน และความกังวลจากสมาชิกทั่วประเทศ ทั้งจากหอการค้าจังหวัดมากกว่า 70 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมจังหวัด กลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ สมาคมการค้ามากกว่า 90 สมาคม และหอการค้าต่างประเทศอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยและคัดค้านกับร่างกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment: RIA) อย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการพิจารณาความเหมาะสม และผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวมีหลายมาตราที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม และเพิ่มภาระต้นทุนการจ้างงานให้กับนายจ้างในภาวะเศรษฐกิจที่ยังผันผวน โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้นจากการปรับข้อกำหนดของกฎหมายใหม่ นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลให้เกิดการลดลงของความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการดึงดูดการลงทุนของประเทศไทยในภาพรวมอีกด้วย
ฉบับที่ 1 ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ของ สส.จรัส คุ้มไข่น้ำ และคณะ มีผลกระทบ 3 ด้าน ดังนี้ 1. ความยืดหยุ่นทางการเงินของแรงงานไทยลดลง (Income Shock) 2. กำลังการผลิตของชาติลดลง และ 3. ระบบการจ้างงานซึ่งไม่เกิดผลดีต่อลูกจ้าง
ฉบับที่ 2 ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ของ สส.วรรณวิภา ไม้สน และคณะ กกร. คิดเห็นว่าการออกกฎหมายฉบับนี้เป็นการออกกฎหมายเกินความจำเป็น เนื่องจากกฎหมายคุ้มครองแรงงานในปัจจุบัน เป็นกฎหมายที่ครอบคลุมและดูแลลูกจ้างดีแล้ว
ฉบับที่ 3 ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของ สส.เซีย จำปาทอง และคณะ กกร. เห็นว่า การกำหนดให้เพิ่มบทนิยามคำว่า “การจ้างงานรายเดือน” เป็นการจ้างงานที่มีลักษณะเป็นงานประจำและเต็มเวลา โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน เป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในการทำสัญญาเกินความจำเป็น และขัดต่อหลักเสรีภาพในการทำสัญญา
อีกทั้งการกำหนดให้คณะกรรมการค่าจ้าง ต้องปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มทุกปี โดย กกร. เห็นว่า การปรับอัตราจ้างขั้นต่ำย่อมขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สะท้อนให้เห็นถึง ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง และค่าครองชีพของลูกจ้างตามที่บัญญัติไว้แล้วในกฎหมายปัจจุบันโดยให้ความสำคัญกับคณะกรรมการค่าจ้างฯ คณะกรรมการไตรภาคีจังหวัดและมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เป็นต้น
นายพจน์ กล่าวว่า คณะกรรมการ กกร. สนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานตามหลักสากล หรือองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ทั้งในด้านชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม สิทธิการลา การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสนับสนุนการกลไกแรงงานสัมพันธ์ภายในองค์กรในการกำหนดแนวทางที่เหมาะสม เพื่อประเมินผลกระทบเชิงปริมาณและจัดทำมาตรการรองรับอย่างรอบคอบ
“ขอย้ำให้เห็นว่า กระบวนการจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก หรือกฎหมายมหาชน ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ซึ่งในกรณีนี้ ยังขาดข้อมูลที่เพียงพอ และอาจส่งผลต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรง” นายพจน์ ระบุ
ดังนั้น กกร. จึงขอคัดค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับใหม่ ทั้ง 3 ฉบับ ที่ไม่สอดรับกับข้อกำหนดองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ขาดการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน และเห็นควรให้มีการทำประชาพิจารณ์ใหม่อย่างรอบด้านทั้งให้มีตัวแทน สภาอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้าจังหวัด องค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง (ไตรภาคี) ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นตัวกลางในการดำเนินการดังกล่าว
ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, 12/11/2568
บอร์ดประกันสังคมเคาะ ‘บำนาญชราภาพสูตร CARE’ ยกร่างกฎกระทรวงก่อนเสนอ ครม.
11 พฤศจิกายน 2568 พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงสูตรการคำนวณบำนาญชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 หรือที่เรียกว่า “สูตรบำนาญ Care” แล้ว โดยจะเข้าสู่กระบวนการ ยกร่างกฎกระทรวง เพื่อเป็นกลไกทางกฎหมายรองรับการปรับสูตรในระยะต่อไป
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการได้มอบหมายให้ตั้ง อนุกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อพิจารณารายละเอียดของสูตรใหม่ โดยคำนึงถึง “ความมั่นคงและยั่งยืนของกองทุนประกันสังคม” รวมถึงผลกระทบต่อผู้ประกันตนในทุกกลุ่ม เพื่อให้การปรับสูตรครั้งนี้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ประกันตนทุกฝ่าย
“เรามีความชัดเจนแล้วในหลักการ และจะเดินหน้าในกระบวนการยกร่างกฎกระทรวง ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ตามกฎหมาย แต่ยืนยันว่าทั้งหมดเดินหน้าแล้ว และอยู่ในแนวทางที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่ามีประโยชน์ต่อผู้ประกันตน” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในการพิจารณาสูตรบำนาญใหม่ คณะกรรมการได้ให้ความสำคัญกับหลายประเด็นควบคู่กัน ทั้งการปรับ มาตรฐานค่าจ้างแรงงาน, แนวทางเยียวยาผู้ที่อาจได้รับผลกระทบในระยะเปลี่ยนผ่าน, และ การสื่อสารสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกันตน เพื่อให้การดำเนินการโปร่งใสและครบถ้วน
พ.ต.ท.วรรณพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระบวนการยกร่างกฎกระทรวงจะต้องผ่านการพิจารณาของอนุกรรมการกฎหมาย ก่อนเสนอให้คณะกรรมการประกันสังคมเห็นชอบในรายละเอียดอีกครั้ง และผ่านไปยัง ค.ร.ม. ซึ่งคาดว่าอาจไม่ทันในช่วงเดือนมกราคม 2569 แต่ยืนยันว่าการดำเนินงานมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว
“เรื่องนี้ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องดีและจำเป็นต่อระบบบำนาญของประเทศ เพื่อให้กองทุนประกันสังคมมีความยั่งยืน และดูแลพี่น้องผู้ประกันตนได้อย่างทั่วถึงในระยะยาว” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมติบอร์ดประกันสังคมออกมาแล้วนั้น ทางด้าน “ประกันสังคมก้าวหน้า” ได้โพสต์เฟชบุ๊กผ่านเพจ ประกันสังคมก้าวหน้า - Progressive Social Security ระบุว่า สูตรCARE ผ่านบอร์ดประกันสังคมแล้วทุกกระบวนการตั้งแต่ รับหลักการ ปรับปรุงสูตร ประชาพิจารณ์ ร่างกฎกระทรวง ขั้นตอนต่อไป คือ ส่งต่อร่างกฎกระทรวงไปที่กระทรวงแรงงานให้รัฐมนตรีเสนอในที่ประชุม ครม. รอประกาศในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา จึงจะมีผลบังคับใช้ โดยทีมประกันสังคมก้าวหน้า ยังระบุว่า “ผ่านร่างกฏกระทรวง บำนาญ CARE เอกฉันท์ ลบคราบน้ำตาคน 570,000 คน เตรียมดำเนินการเสนอ ครม รับทราบต่อไป”
ที่มา: Hfocus, 11/11/2568
ผู้แทนกลุ่มขับรถรับจ้างผ่านแอปฯ วอนรัฐบาล ปรับเงื่อนไขและขั้นตอนจดทะเบียน ให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถมีอาชีพเสริม
ผู้แทนกลุ่มผู้ขับขี่รถรับจ้างผ่านแอพพลิเคชั่น นำโดยนายจิรภัทร โสภาลัย ยื่นหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อเสนอแนวทางแก้ปัญหาผลกระทบจากกฎกระทรวง เกี่ยวกับการจดทะเบียนรถรับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่มี นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นตัวแทนรับเรื่อง
โดยผู้แทนผู้ขับขี่รถรับจ้าง กล่าวว่า กฎระเบียบตามที่กระทรวงคมนาคมระบุ อาจมีข้อติดขัดเรื่องเงื่อนไขและขั้นตอนการจดทะเบียนที่ซับซ้อนไม่ยืดหยุ่น ส่งผลกระทบต่อคนขับรถรับจ้างผ่านแอพ โดยเฉพาะคนที่ทำเป็นอาชีพเสริม หรือมีรายได้น้อย ไม่สามารถจดทะเบียนได้ ก็จะกระทบต่อการหารายได้ เนื่องจากการจดทะเบียนไม่อนุญาตให้ใช้รถส่วนบุคคลทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเก็บสัญญาเช่าซื้อ และยังมีประกันภัยที่สูง จึงอยากให้รัฐบาลช่วยบรรเทา ปรับกระบวนการส่งเอกสารให้ผ่านออนไลน์ และสามารถใช้สำเนาเล่มรถในการจดทะเบียนรถ ในกรณีรถติดไฟแนนซ์และให้สามารถใช้รถเช่ามาใช้บริการผ่านแอพได้เป็นต้น
ด้านนายไชยชนก ชิดชอบ รับเอกสารพร้อมกล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ที่มา: สำนักข่าวไทย, 11/11/2568
นายกสั่งชะลอเซ็นอนุญาตแรงงานกัมพูชาแสนคนอยู่ต่อ ชี้กังวลกระทบความมั่นคง
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งชะลอการลงนามในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่ออนุญาตให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาเกือบ 1 แสนคน ที่ใบอนุญาตทำงานสิ้นสุดลงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ มติดังกล่าวเป็นข้อเสนอของรัฐบาลชุดก่อน (วันที่ 19 ส.ค. 68) เพื่อผ่อนผันให้แรงงานจาก 4 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) สามารถอยู่และทำงานต่อได้ชั่วคราว 1 ปี
น.ส.ไตรศุลีระบุว่า การสั่งชะลอครั้งนี้เป็นเพราะนายอนุทินมีความกังวลว่าหากอนุญาตให้แรงงานกลุ่มนี้อยู่ต่อโดยที่ไม่สามารถยืนยันตัวตนหรือที่อยู่ได้อย่างชัดเจน อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงรวมถึงปัญหาการลักลอบเข้าเมืองและอาชญากรรมข้ามชาติ รัฐบาลชุดนี้ยึดหลักปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และจะไม่เร่งรัดดำเนินการใด ๆ จนกว่าข้อมูลและหลักฐานทุกอย่างจะถูกต้องสมบูรณ์
น.ส.ไตรศุลีกล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานร่วมกันทบทวนรายละเอียดทั้งหมด และเตรียมทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อให้การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวเป็นไปอย่างรอบคอบ โปร่งใส และตรวจสอบได้
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์, 10/11/2568
รมว.แรงงาน สั่งเข้มออกใบอนุญาตทำงานให้ต่างชาติในไทย ป้องกันแอบแฝงเป็นมิจฉาชีพ ลั่นไม่ยอมให้ไทยเป็นฐาน Scammer
นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้สั่งการด่วนไปยังกรมการจัดหางานและหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ ให้เพิ่มความเข้มงวดสูงสุดในการตรวจสอบการออกใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) แก่คนต่างด้าวที่พำนักและทำงานในประเทศไทย เพื่อสกัดกั้นการแฝงตัวของกลุ่มมิจฉาชีพต่างชาติ ที่อาจเข้ามาก่อเหตุหลอกลวงประชาชน สร้างความเสียหายต่อสังคมและภาพลักษณ์ของประเทศ
รมว.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีกลุ่มอาชญากรข้ามชาติบางส่วนพยายามใช้ช่องทางการทำงานในไทยเป็น “ฉากบังหน้า” โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญและจังหวัดชายแดน ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความปลอดภัยของประชาชน ตนจึงได้สั่งการให้กรมการจัดหางานตรวจสอบเอกสารหลักฐานอย่างละเอียดรอบคอบ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อคัดกรองแรงงานต่างชาติให้รัดกุมที่สุด
ย้ำ รัฐบาลให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชน และจะไม่ยอมให้ประเทศไทยเป็นฐานของกลุ่มสแกมเมอร์ หากพบว่ามีต่างชาติใช้ช่องทางใบอนุญาตทำงานเป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรม หรือเกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์ ให้ดำเนินการเพิกถอนใบอนุญาต และส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีโดยไม่ละเว้น กระทรวงแรงงานจะทำงานร่วมกับทุกหน่วย เพื่อป้องกันและปราบปรามการใช้ใบอนุญาตทำงานในทางมิชอบอย่างจริงจัง
ที่มา: NBT Connext, 10/11/2568
* ข่าว
* เศรษฐกิจ
* สังคม
* แรงงาน
* คุณภาพชีวิต
* สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ http://dlvr.it/TPHfml